Jun 20, 2008

กรุ๊ปเลือดกับความอ้วน


แม้ใครๆ จะบอกว่า ?ไร้สาระ? แต่สาวๆ ทั้งหลาย (หรืออาจ
จะรวมถึงหนุ่มบางคนด้วย) ต่างถือว่าเรื่องน้ำหนักตัวเป็น ?
สาระ? อีกอย่างหนึ่งของชีวิต (สำคัญไม่น้อยไปกว่ากิจกรรม
ช็อปปิ้งทีเดียว!!!)

เช่นนั้นเอง หนทางสู่การลดน้ำหนักจึงถูกคิดและค้นขึ้น
หนึ่งในนั้นคือ การใช้กรุ๊ปเลือดเป็นสิ่งกำหนดว่า แต่คน
ควรลดน้ำหนักอย่างไร
โดยนักโภชนาการบางกลุ่มศึกษา
และแนะนำว่า คนแต่ละกรุ๊ปเลือดควรรับประทานอาหารที่
เหมาะสม เพื่อลดน้ำหนัก มีสุขภาพดีและไม่เสี่ยงกับโรค


ถึงจะมีคนกลุ่มหนึ่งเชื่อว่าทฤษฎีนี้เหลวไหลเป็นเหมือน ?
นวนิยายวิทยาศาสตร์? มากกว่า ?ความเป็นจริงทาง
วิทยาศาสตร์? แต่ถึงอย่างนั้นก็มีดาราฮอลลีวูด อย่างเช่น
ลิซ เฮอร์ลีย์ คอร์ตนีย์ ค็อก-อาร์เควต ฯลฯ ใช้ได้ผลมาแล้ว
มาลองดูหลักการของทฤษฎีนี้กันดูหน่อยดีกว่า

หลักการคือ อะไร

ด็อกเตอร์ปีเตอร์ ดีอะดาโม เจ้าของหนังสือ Eat Right For
Your Blood Type เชื่อว่ากรุ๊ปเลือดที่แตกต่างทำให้ร่างกาย
ของแต่ละคนมีปฏิกิริยากับอาหารแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน กรุ๊ปเลือดทำให้เรามีระดับกรดในท้องและเอนไซม์ที่ช่วยใน
การย่อยไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงมีอาหารบางอย่างที่
เหมาะและไม่เหมาะสำหรับคนแต่ละกรุ๊ปเลือด เพราะถ้า
เลือกอาหารย่อยและดูดซึมได้ดีก็จะมีผลดีกับร่างกาย
ทำให้ลดน้ำหนักได้ด้วย

กรุ๊ปเลือดเกิดขึ้นเมื่อใด

เลือดกรุ๊ปแรกที่ค้นพบและจำแนกออกมาได้คือ เลือดกรุ๊ปโอ
ซึ่งมีมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ ที่มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ด้วยการล่า
สัตว์ ด็อกเตอร์ปีเตอร์ ดีอะดาโม เชื่อว่าบรรพบุรุษเลือด
กรุ๊ปโอของมนุษย์คือ ผู้ที่มีชีวิตรอดมาได้ด้วยการ
รับประทานอาหารโปรตีนสูงและเนื้อสัตว์

ส่วนเลือดกรุ๊ปเอนั้นปรากฏออกมาเมื่อราว 1.5 หมื่นปีก่อน
คริสตศักราช ซึ่งเป็นเวลาที่การล่าสัตว์สิ้นสุดลง และมนุษย์
หันมาสร้างชุมชนทำไร่นาและสวน แทนที่จะรับประทานแต่
เนื้อสัตว์ พวกเขาก็บริโภคผักและผลไม้ ขณะที่คนเลือดกรุ๊ป
บีนั้นวิวัฒนาการขึ้นช่วง 1 หมื่นปีก่อนคริสตศักราช ในหมู่
บรรพบุรุษมนุษย์ที่เร่ร่อน ทิ้งไร่นาและสวนเพื่อออกเดินทาง
ไปยังดินแดนต่างๆ นั่นหมายถึง คนเลือดกรุ๊ปนี้สามารถ
รับประทานอาหารได้หลากหลายขึ้น

สุดท้ายคือ เลือดกรุ๊ปเอบี ที่เพิ่งจะค้นพบเมื่อราวพันปีก่อน เชื่อว่ามาจากการที่บรรพบุรุษมนุษย์ได้ปรับตัวให้เข้ากับการ
เปลี่ยนแปลงกับการมาถึงของยุคสมัยใหม่ ซึ่งหมายความว่า คนเลือดกรุ๊ปเอบีสามารถรับประทานอาหารผสมผสาน
ระหว่างอาหารที่เหมาะกับเลือดกรุ๊ปเอและเลือดกรุ๊ปบี

ด้วยหลักการนี้ของด็อกเตอร์ปีเตอร์ ดีอะดาโม ก็มีการนำมา
ปรับเป็นสูตรอาหารสำหรับลดความอ้วน เพื่อเลือกว่าอะไร
ที่ควรจะรับประทาน และอะไรที่ไม่ควรรับประทาน

เลือดกรุ๊ปโอ

คนกลุ่มนี้ยังคงเป็นเช่นมนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์ พวกเขาจึงควร
รับประทานเหมือนบรรพบุรุษนักล่าสัตว์ คือ เลือกอาหาร
โปรตีนสูง คาร์โบไฮเดรตต่ำ ประกอบด้วยเนื้อและปลา
สามารถรับประทานไข่ ถั่ว ผัก และผลไม้ได้ สิ่งที่ควรงดคือ
นมเนยและธัญพืช รวมถึง ซีเรียล ขนมปัง พาสตา และข้าว
การออกกำลังกายที่เหมาะสมนั้น ควรเป็นกีฬาที่ต้องใช้พลัง
สูง ไม่ว่าจะแอโรบิก วิ่ง ฯลฯ

เลือดกรุ๊ปเอ

เหมาะกับการรับประทานแป้งและผัก ส่วนเนื้อนั้นควรรับประทาน
เพียงเล็กน้อย ที่ควรงดคือ นมเนย อาหารประเภทถั่วต่างๆ รวม
ไปถึง ซีเรียล พาสตา ข้าว ผลไม้ และผัก เป็นสิ่งที่คนเลือดกรุ๊ป
เอรับประทานได้ควบคู่ไปคือ ออกกำลังกายอย่างสงบนิ่ง เช่น
โยคะ กอล์ฟ ฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีสำหรับร่างกาย

เลือดกรุ๊ปบี

มีเพียงอาหารบางอย่างที่ควรเลี่ยงสำหรับคนเลือดกรุ๊ปบี นั่นก็คือ
อาหารที่ผ่านการปรุงแต่งแล้ว รวมทั้งถั่วและเมล็ดพืชก็ไม่แนะนำ พวกเขาสามารถรับประทานอาหารที่สมบูรณ์ด้วยคาร์โบไฮเดรต
ได้เล็กน้อย เมื่อมาถึงการออกกำลังกายควรเลือกชนิดที่ช่วยเสริม
จิตใจอย่างเช่น การปีนเขา เดินป่า เทนนิส และว่ายน้ำ ทั้งหมด
เป็นกีฬาที่ทำให้พวกเขาได้คิดและอยู่กับตัวเอง

เลือดกรุ๊ปเอบี

อาหารที่เหมาะกับคนกรุ๊ปเลือดนี้ มาจากการผสมผสานระหว่าง
คนเลือดกรุ๊ปเอและบี ซึ่งอาจจะทำให้สับสนเล็กน้อย เพราะว่า
คนเลือดกรุ๊ปบีนั้นสามารถรับประทานอาหารได้เกือบทุกชนิด
ขณะที่เลือดกรุ๊ปเอแนะนำให้รับประทานผัก ทางเลือกหรือทาง
ออกคือ ให้รับประทานผักเป็นหลักและรับประทานเนื้อ ปลา และ
นมเนยบ้างเป็นครั้งคราว ส่วนการออกกำลังกายนั้นให้ผสม
ระหว่างการออกกำลังที่สงบนิ่งและกิจกรรมที่ใช้กำลังเพียง
ปานกลาง

ในทรรศนะผู้เชี่ยวชาญ

หลายคนเห็นว่าทฤษฎีนี้เหลวไหลไร้สาระ ด้วยไม่มีความเกี่ยว
ข้องระหว่างกรุ๊ปเลือดกับอาหารที่รับประทาน อีกทั้งการงด
รับประทานอาหารบางประเภทในระยะยาวอาจจะทำให้เกิด
ภาวะขาดสารอาหาร โดยเฉพาะคนเลือดกรุ๊ปโอและเอ คำ
แนะนำคือ ใช้หลักการนี้ในช่วงเวลาสั้น (เช่น 1 สัปดาห์) สำหรับการเริ่มต้นเพื่อแผนการมีสุขภาพดีหรือลดน้ำหนัก

อย่างน้อยทฤษฎีนี้ก็แนะนำให้รับประทานอาหารสดเป็น
ธรรมชาติ และ ลดเลิกอาหารขยะฟาสต์ฟู้ด แอลกอฮอล์ ฯลฯ
ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่ดี ส่วนน้ำหนักจะลดมากน้อยแค่ไหนนั้น คง
จะขึ้นอยู่กับการเคร่งครัดกับตัวเอง รวมไปถึงการควบคุมและ
หักห้ามใจไม่ให้รับประทานมากเกินไป

จำไว้ว่าทุกอย่างควรดำเนินไปบนทางสายกลาง แต่ละคนก็
มีจุด ?พอดี? ของตัวเอง

เรื่อง รอยนวล

ที่มา โพสต์ ทูเดย์

พิสูจน์สาวตาเอกซเรย์ มองทะลุคน-เก่งกว่าหมอ



น.ส.นาตัลยา นิโคลาเยฟน่า เดมคินา หรือ "นาตาชา" ชาวรัสเซีย
ได้ชื่อว่าเป็น "สาวตาเอกซเรย์" เธอเกิดที่เมืองซารานสค์เมื่อ
พ.ศ.2530 ปัจจุบันอายุ 21 ปี และอ้างว่ามีตาเอกซเรย์มองเห็น
อวัยวะภายในของบุคคลอื่นๆ ตั้งแต่อายุ 10 ขวบ

"ฉันมองได้ 2 ลักษณะ ตาสามารถสวิตช์ไปมาได้ ไม่ทราบเหมือน
กันว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร การสวิตช์นั้นไม่ยาก เพียงแค่นึกขึ้นมา
เท่านั้น ฉันก็จะเห็นอวัยวะภายในทั้งหมดของคน ยากเหมือนกันนะ
ที่จะอธิบายว่า คนๆ นั้นป่วยเป็นโรคอะไรอยู่ อวัยวะที่มีปัญหาคล้าย
จะมีรังสีออกมา" นาตาชากล่าว

ความสามารถของนาตาชามีขึ้นในวันหนึ่งขณะที่เธออยู่บ้านกับ
นางทัตยาน่า วลาดิมอฟน่า มารดา ทันใดนั้นก็มองเห็นอวัยวะ
ภายในของมารดา และอธิบายว่า อวัยวะภายในนั้นเป็นอย่างไร
สำหรับภาพที่เธอเห็นนั้นเป็นภาพสี และเริ่มทำการวิเคราะห์เมื่อ
เปรียบเทียบอวัยวะภายในของคนหลายๆ คน

ต่อมาเธอก็ดูอวัยวะภายในของญาติ คนรู้จัก นางทัตยาน่ากล่าว
ว่า ตอนแรกเธอไม่กล้าบอกเรื่องความสามารถของลูกสาวกับใคร
แต่ผู้คนก็มาที่บ้านเธอเรื่อยๆ ครั้งหนึ่งหญิงคนหนึ่งมาหานาตาชา
บอกว่าเธอมีลูกยาก แม้จะใช้เวลารอคอยมาหลายปีแล้ว นาตาชา
รับปากที่จะช่วยเหลือ จากนั้นไม่นาน หญิงคนนี้ก็คลอดบุตรชาย
แต่เธอกลับไม่เชิญนาตาชาแม้แต่จะไปเยี่ยมทารกนี้

จากนั้นจนชื่อเสียงของเธอเข้าหูสื่อมวลชน ทั้งของรัสเซียเองและ
ต่างชาติ อย่างไรก็ตาม เธอไม่สามารถมองเห็นอวัยวะภายในของ
ตัวเอง และการมองอวัยวะภายในของผู้อื่นทำได้ในช่วงกลางวัน
เท่านั้น

ด้านนายนิโคไล เดมคินา บิดาของนาตาชา กล่าวว่า "เราซ่อนความ
สามารถพิเศษของนาตาชาไว้นานมาก แต่ความสามารถนี้กลายเป็น
ความสนใจของสาธารณชนไปแล้ว บ้านเรามีผู้สื่อข่าวมาหาเป็นจำนวน
มาก หนังสือพิมพ์รัสเซียเขียนถึงนาตาชา และบ่อยครั้งที่ข้อความใน
หนังสือพิมพ์ทำให้เรารู้สึกเสียใจ"



จากรายงานของสื่อมวลชน นาตาชาระบุว่า บุคคลที่เธอมองเห็น
อวัยวะภายในนั้นกำลังป่วยเป็นโรคอะไร ได้ถูกต้องแม่นยำกว่า
แพทย์ที่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์เข้ามาช่วยเหลือ จากนั้นหนัง
สือพิมพ์เดอะซันของอังกฤษ เชิญนาตาชากับมารดาไปกรุงลอน
ดอน พร้อมเข้ารับการทดสอบตาหน้ากล้องโทรทัศน์

ผลที่ได้ปรากฏว่า เธอสามารถมองออกว่า ไบรโอนี่ วาร์ดเดน ผู้สื่อ
ข่าวของเดอะซัน บาดเจ็บที่อวัยวะภายในจากอุบัติเหตุรถยนต์
แต่บ่ายเบียงที่จะตอบว่า มีอวัยวะใดที่หักบ้าง

จนช่องดิสคัฟเวอรี่ สนใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับนาตาชา จึง
เชิญเธอมารับการทดสอบที่สหรัฐ โดยคณะที่เตรียมการทดสอบ
คือ คณะกรรมาธิการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ถึงปรากฏการณ์ที่
อ้างว่าเหนือธรรมชาติ (CSICOP) และคณะกรรมาธิการวิทยาศาสตร
์การแพทย์และสุขภาพจิต (CSMMH) ส่วนผู้ที่ทำการทดสอบคือ
ศ.ดร.เรย์ ไฮแมน จากมหาวิทยาลัยโอเรกอน ศ.ดร.ริชาร์ด ไวส์แมน ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยเฮิร์ตฟอร์ดไชร์ นาย
แอนดรูว์ สคอลนิก บรรณาธิการวารสารของสมาคมแพทย์อเมริกัน

การทดลองมีอยู่ว่า เธอต้องมองอวัยวะภายในของคน 7 คน โดย
6 คนในนั้น มีความผิดปกติของอวัยวะภายในเรียงดังนี้คือ ถูกผ่าตัด
ไส้ติ่งออกไปแล้ว ถูกผ่าตัดที่ด้านล่างของหลอดอาหาร มีแม็กที่ใช้ในทางการแพทย์ติดอยู่ที่หน้าอกเนื่องจากการผ่าตัดหัวใจ
มีผู้ใส่ข้อต่อสะโพกเทียม มีผู้ถูกตัดปอดด้านบนของปอดซ้ายออก มีผู้ที่ต้องใส่โลหะที่กะโหลกเนื่องจากเข้ารับการผ่าตัดเนื้องอกในสมอง
ส่วนบุคคลที่ 7 มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีความผิดปกติใดๆ

หลักการตัดสินคือ นาตาชาจะต้องบอกว่า ใครมีอวัยวะภายในที่ผิด
ปกติให้ถูกต้องอย่างน้อย 5 ใน 7 คน ถึงจะตัดสินได้ว่า ความสามารถของเธอน่าจะทำการทดสอบทางการแพทย์ต่อไป

อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่า นาตาชาตอบถูกเพียง 4 ใน 7 เท่านั้น แม้ว่า
นางทัตยาน่า มารดา จะกล่าวกับใครต่อใครว่า ลูกสาวไม่เคยทายผิดเลย

ศ.ดร.ไวส์แมน มีความเห็นว่า "ขณะทำการทดสอบ ความรู้สึกประทับใจที่มีต่อนาตาชาของผู้ชมและคณะกรรมาธิการนั้น
แตกต่างกัน นาตาชาใช้เวลานานถึง 4 ชั่วโมงกว่าจะตอบได้ และ
หลายครั้งเธอตอบผิด ผมคิดว่า ผู้ชมคงลุกออกไปแล้ว แต่ที่ไหน
ได้ ผู้ชมกลับเชื่อเธอ ผมคิดว่า ความเชื่อของผู้ชมที่มีต่อนาตาชาคง
เหมือนกับความเชื่อที่มีต่อหมอดู ซึ่งผู้ชมให้ความสนใจคำพูดของ
นาตาชาในส่วนที่ผู้ชมเชื่อเท่านั้น"

ด้านนาตาชาแย้งผลของคณะกรรมาธิการที่ทำการตรวจสอบว่า ความสามารถของเธอนั้นไม่เพียงพอที่จะเข้ารับการศึกษาทาง
วิทยาศาสตร์ต่อไป เธอกล่าวว่า สภาพและสิ่งแวดล้อมขณะทำ
การตรวจสอบนั้น ไม่เหมาะที่เธอจะทำการทดสอบ เช่น เธอไม่
เคยเอกซเรย์คนมากเท่านี้มาก่อน

ส่วนคณะกรรมาธิการระบุว่า การทดลองนี้มีข้อบกพร่องหลายข้อ
เช่น นาตาชามาถึงสถานที่ทำการทดสอบก่อนเวลาที่นัดหมายไว้
ทำให้เธอพบอาสาสมัคร 2 คนก่อนเวลา ทั้งๆ ที่เธอไม่ควรพบกับ
อาสาสมัครก่อนหน้านั้นเลย

ดังนั้น เมื่อเธอได้รับเชิญจาก ศ.โยชิโอะ มาชิ ให้ไปเข้ารับการทด
สอบที่มหาวิทยาลัยโตเกียวอีเล็กทริกคัลประเทศญี่ปุ่นเธอจึงออก
กฎว่า ต้องให้อาสาสมัครที่เข้ามารับการทดสอบนำใบรับรองแพทย์
ที่ระบุถึงอาการผิดปกติภายในมาด้วย อาสาสมัครยังต้องระบุว่า มี
ความปกติตรงส่วนใดของร่างกาย เช่น ช่องท้อง ศีรษะ เธอต้องใช้
เวลานานจนกว่าจะพอใจเพื่อจะระบุความผิดปกติ

จากเว็บไซต์ของนาตาชา ระบุว่า เธอเห็นข้อเข่าเทียมของอาสา
สมัคร เห็นอาสาสมัครกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ เธอยังทายถูกว่า สุนัข
ตัวหนึ่งใส่อุปกรณ์การแพทย์ไว้ที่ขาหลังด้านขวา อย่างไรก็ตาม ทางมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นไม่เปิดเผยรายละเอียดของการทดลองให้
บุคคลภายนอกทราบ

ด้านนายแพทย์ไบรอัน โจเซฟสัน ผู้อำนวยการโครงการ
Mind-Matter Unification มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ
และเคยได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ มีความเห็นถึงการทดสอบ
ของคณะกรรมมาธิการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ถึงปรากฏการณ์
ที่อ้างว่าเหนือธรรมชาติ และคณะกรรมาธิการวิทยาศาสตร์การ
แพทย์และสุขภาพจิตว่า "มีความพยายามที่จะดิสเครดิตความ
สามารถของนาตาชา และผลที่ได้ควรจะระบุว่า ไม่สามารถระบุ
ได้ เนื่องจากการที่นาตาชาระบุอาการได้ถูกต้อง 4 ใน 7 คน นับ
ว่าตอบถูกถึงกว่าครึ่ง ซึ่งเป็นสถิติที่น่าสนใจ"

ความสามารถของนาตาชา สาวน้อยจากรัสเซีย จึงยังเป็นที่ถกเถียง
กันในชุมชนวิทยาศาสตร์ว่า สายตาเอกซเรย์นั้นมีอยู่จริงหรือ ปัจจุบัน
นาตาชาเรียนอยู่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยซีมาชโค สเตต
สตอมมาโทโลจิคัล กรุงมอสโก และทำงานอยู่ที่ศูนย์รักษาพิเศษ
นาตัลยา เดมคินา (TSSD) ซึ่งศูนย์นี้จะระบุโรคและรักษาผู้ป่วยด้วย
ความร่วมมือจาก "ผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถพิเศษเหนือธรรมชาติ
รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญการแพทย์แผนโบราณ"


ข้อมูลจาก

ฮือฮาปาฏิหาริย์ เต่ายักษ์ช่วยชีวิต



เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 17 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่
บ้านเลขที่ 16/5 หมู่ 4 ต.บางจาก อ.เมืองนครศรีธรรมราช
ซึ่งเป็นบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้ ปลูกอยู่ริมคลองบางจาก เนื่อง
จากได้รับแจ้งว่า นายสมหวัง อาดัม อายุ 33 ปี ชาวประมง
เจ้าของบ้าน พบเต่าตนุขนาด ใหญ่ยักษ์ ซึ่งนายสมหวังได้
นำไปดูเต่าตนุที่นำไปไว้ในอ่างปลาข้างบ้าน เป็นเต่าตนุเพศ
เมียสีดำขนาดใหญ่ยักษ์ มีความยาวจากหัวถึงหาง 1.28
เมตร ความกว้างของกระดอง 1.12 เมตร นำหนัก 208 กิโลกรัม

นายสมหวังกล่าวถึงที่มาของเต่ายักษ์ว่า ตนมีอาชีพ ทำประมงพื้นบ้าน
โดยวางอวนขนาดเล็กในย่านปากน้ำปากพนัง อ.ปากพนัง พื้นที่รอยต่อ
ต.บางจาก อ.เมืองนครศรีธรรมราช เมื่อราว 3 ทุ่มเศษวันที่ 16 มิ.ย.ที่ผ่าน
มา ได้ขับเรือหางยาวไปวางอวนตามปกติ จนกระทั่งเวลา 00.30 น.
วันที่ 17 มิ.ย. วางอวนเสร็จสิ้น จึงขับเรือกลับบ้าน ตั้งใจว่าจะไปเก็บอวน
ในช่วงสายวันนี้ ปรากฏว่าพอขับเรือมาถึงปากอ่าวบ้านบางปรง ซึ่งเป็น
ปากอ่าวเล็กด้านในถัดมาจากปากอ่าวปากพนัง อยู่ระหว่างหมู่ 12 ต.
คลองน้อย อ.ปากพนัง กับหมู่ 7 ต.บางจาก อ.เมืองนครศรีธรรมราช
จู่ๆเครื่องยนต์เรือเกิดดับไปดื้อๆ พยายามติดเครื่องอยู่นานนับชั่วโมง
แต่ไม่เป็นผล แถมเรือยังถูกคลื่นลมแรงพัดออกทะเลเรื่อยๆ แม้จะใช้ไม้พายพายเรือกลับเข้าคลองบางจากอย่างสุดกำลัง แต่ไม่
อาจต้านทานคลื่นลมได้ เรือก็ลอยห่างจากฝั�งไปอย่างต่อเนื่อง

หนุ่มชาวประมงกล่าวต่อว่า ช่วงนั้นตนรู้สึกอับจนไม่มีปัญญานำเรือ
กลับบ้านได้ จึงอธิษฐานในใจขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์บันดาลให้คลื่นลม
สงบ และขอให้ช่วยให้กลับบ้านได้ หลังจากนั้นครู่เดียวคลื่นลมก็สงบ
ลงอย่างปาฏิหาริย์ ทำให้ขนลุกซู่ไปทั้งตัว ยิ่งไปกว่านั้น จู่ๆเรือของ
ตนก็เคลื่อนตัวทวนทิศทางคลื่นลมอย่างช้าๆ กลับเข้าคลองบางจาก
ได้ทั้งที่ไม่ได้ใช้พายพายเรือแม้แต่น้อย ทำให้ตกใจจนขนหัวลุก
คิดในใจว่าอาจมีวิญญาณ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยพาเรือของตนกลับ
บ้านตามคำอธิษฐาน

นายสมหวังเจ้าของบ้านกล่าวต่อว่า กระทั่ง 6โมงเช้า เรือเคลื่อน
ตัวมาถึงริมตลิ่งหน้าบ้านแล้วหยุดลง จึงรีบกระโดดขึ้นตลิ่งทันที จากนั้นได้มองไปที่เรือเห็นเต่าตัวใหญ่ว่ายน้ำออกมาจากใต้ท้อง
เรือ แล้วค่อยๆเดินต้วมเตี้ยมขึ้นมาบนตลิ่ง ทำให้แน่ใจว่าเต่าตัวนี้
ดันเรือของตนจากปากน้ำปากพนังมาถึงบ้าน ระยะทางเกือบ 20
กม. แต่ยังรู้สึกแปลกใจว่าเต่ารู้ได้อย่างไรว่ามาถึงบ้าน ตนแล้ว
ถึงได้หยุดดันเรือแล้วเดินขึ้นมาบนตลิ่ง ตนและเพื่อนบ้านที่ทราบ
ข่าวเชื่อว่าเต่าตัวนี้เป็นเต่าเจ้าที่ หรือเป็นพญาเต่า จึงนำเรื่องไป
เล่าให้ผู้ใหญ่บ้านฟัง แจ้งนายไกรลาศ แก้วดี นายอำเภอเมือง
นครศรีธรรมราช ประสานประมงอำเภอปากพนัง มาตรวจสอบ

ระหว่างนั้นนายไกรลาด แก้วดี นายอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช
นายอุทร สิทธิศักดิ์ ประมงอำเภอปากพนัง และนักวิชาการจาก
ศูนย์พัฒนาประมงพื้นที่ โครงการพัฒนาลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่อง
มาจากพระราชดำริ เดินทางเข้ามาที่บ้านของนายสมหวัง และ
เข้าตรวจเต่าดังกล่าวอย่างละเอียดถี่ถ้วน

จากนั้นนายอุทร สิทธิศักดิ์ ประมงอำเภอปากพนัง เปิดเผยว่า
เต่าตนุตัวนี้ เป็นเพศเมีย อายุไม่ต่ำกว่า 100 ปี ตามลำตัวไม่พบ
หลักฐานการทำเครื่องหมายหรือการฝังชิปใดๆ ยืนยันว่าเป็นเต่า
ตนุที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ เคยพบมาในภูมิภาคนี้ และนายสม
หวังยินยอมให้นำเต่าไปพักพื้นที่ศูนย์พัฒนาประมง
พื้นที่ฯ เพื่อฟื้นฟูให้มีความสมบูรณ์แข็งแรง เนื่องจากเต่ามีอาการ
อ่อนเพลีย โดยจะนำไปพักฟื้นในบ่ออนุบาล ให้ออกซิเจน ให้
อาหาร คาดว่า จะให้พักฟื้นราว 1 เดือน หลังจากแข็งแรงดีแล้ว
ก็จะปล่อยคืนสู่ธรรมชาติในท้องทะเลลึกต่อไป ส่วนสาเหตุที่เต่า
เข้ามาในพื้นที่ชายฝั่งทะเลนั้น คาดว่าเต่าอาจออกมาหาอาหาร
เพลินแล้วหลงทาง กระทั่งมาเจอกับเรือของนายสมหวังดังกล่าว

ข้อมูลจาก

Jun 18, 2008

10 เรื่อง เพื่อ สุขภาพ และ โภชนาการ



1. สำรองผลไม้ไว้ในตู้เย็น

ได้แก่ กะหล่ำปลี แครอท ส้ม แอปเปิ้ล ซึ่งนอกจากจะได้
ไดเอต แล้ว การรับประทาน ผัก & ผลไม้ ประจำ ยังช่วย
ลดความเสี่ยงจาก โรค มะเร็งลำไส้ใหญ่ ได้อีกด้วย

2. เหงือก ดีด้วยน้ำชายามเช้า

องค์การอาหารและยา ของสหรัฐและสวีเดน บอกว่าการบ้วน
ปากในช่วงเช้าด้วย น้ำชา จะช่วยลดแบคทีเรียในช่องปาก
เนื่องจากสาร โพลีฟีนอล จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของ
แบคทีเรีย ที่เป็นสาเหตุของ ฟันผุ




3. ดื่มน้ำมาก ๆ

อย่างน้อยวันละ 5 แก้ว ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิด มะเร็ง
ลำไส้ใหญ่ และ กระเพาะปัสสาวะ ได้เกือบ 50% เชียวล่ะ

4. เปลือยเท้า คลายเคลียด

การย่ำเท้าเปล่าไปบนทรายนุ่ม ๆ จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย
ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของ เลือด 5. รับแสงแดดอ่อน
มีข้อมูลจากการวิจัยระบุว่า ผู้หญิงที่ไม่ค่อยโดนแดดเอาเสีย
เลย มีโอกาสที่จะเป็น มะเร็งเต้านม มากกว่าผู้หญิงที่อยู่ใน
เมืองที่มี แดด เนื่องจาก แสงแดด ช่วยสังเคราะห์ วิตามินดี
ในร่างกาย เราควรรับแดดอ่อนๆ ในช่วงเย็น



6. หันมาทานขนมปังโฮลวีทกันเถอะ

สำหรับอาหารว่างยามบ่าย แทนที่จะทาน คุ๊กกี้ หรือ เค็ก
เปลี่บนมาทาน ขนมปังโฮลวีท สัก 2 แผ่น รับรองว่า จะ
ช่วยให้คุณมีกำลังวังชา และยังไม่ อ้วน อีกด้วยล่ำ

7. สลัดปลาทูน่า เพิ่มความจำ

ใครที่รู้ตัวว่า เริ่มจะหลง ๆ ลืม ๆ ลองหันมาทาน สลัดปลา
ทูน่า หรือ อาหารเมนูปลา รวมทั้งเพิ่มอาหารที่มี วิตามินบี 2
เช่น ไข ถั่วเหลือง นม นอกจากจะช่วยให้อารมณ์ดี ยังช่วย
เพิ่มพลัง ความจำ ให้กับสมองได้

8. เดินไว ๆ

ช่วยให้สุขภาพ หัวใจ แข็งแรง ลองเดินให้ไวขึ้นอีกนิด อาจ
ใช้เวลาเดินในช่วงเช้า หรือหลังเลิกงาน ให้ได้วันละ 20
นาที จะช่วยบริหาร หลอดเลือดหัวใจ ให้แข็งแรง และยังให้
หุ่นสลิมสมส่วนเป็นของแถม



9. เติมไขมันดี ๆ ให้ร่างกาย

ไขมัน ไม่ได้เป็นผู้ร้ายซะทีเดียว เพราะมีไขมันหลายชนิด
ที่เป็นมิตรกับร่างกายนะ หากร่างกายขาดแคลน อาจมีผล
ต่อการดูดซึม วิตามิน เอ ดี อี เค และจะทำให้รู้สึกอ่อน
เพลียได้ เลือกทานอาหารที่มี ไขมันไม่อิ่มตัว จาก น้ำมัน
มะกอก น้ำมันถั่ว และ ไขมัน โอเมก้า 3 จากปลา ไม่เพียง
ให้พลังงาน ทำให้มีเรี่ยวแรง ยังช่วยป้องกัน โรคมะเร็ง และ
โรคหัวใจ ด้วย



10. JUST DO NOTHING

ลองหยุดภาระวุ่น ๆ สักสัปดาห์ละวัน หรือวันละ 1 ชม.
ให้ปลอดจากเรื่องงาน และคนรอบข้าง ให้เวลาอยู่
คนเดียว ตามลำพัง จะช่วยให้คุณรู้สึกสงบ อาจจะฟัง
เพลงเงียบ ๆ หรืออาบ น้ำอุ่น ๆ แล้วอ่านหนังสือเล่ม
โปรด ชมดอกไม้ เป็นการเติมความรื่นรมย์ทางด้านจิต
ใจ ทำให้คุณสดชื่น และมีความสุข และให้ห่างไกล
จากโรครีบร้อน เร่งรีบ จนแทบไม่มีเวลาสำหรับตัวเอง
ลองทำดู แล้วคุณจะดูดีขึ้นและยังห่างไกลจาก โรคภัย

อีกด้วย








Forward Mail

10 เรื่อง เพื่อ สุขภาพ และ โภชนาการ



1. สำรองผลไม้ไว้ในตู้เย็น

ได้แก่ กะหล่ำปลี แครอท ส้ม แอปเปิ้ล ซึ่งนอกจากจะได้
ไดเอต แล้ว การรับประทาน ผัก & ผลไม้ ประจำ ยังช่วย
ลดความเสี่ยงจาก โรค มะเร็งลำไส้ใหญ่ ได้อีกด้วย

2. เหงือก ดีด้วยน้ำชายามเช้า

องค์การอาหารและยา ของสหรัฐและสวีเดน บอกว่าการบ้วน
ปากในช่วงเช้าด้วย น้ำชา จะช่วยลดแบคทีเรียในช่องปาก
เนื่องจากสาร โพลีฟีนอล จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของ
แบคทีเรีย ที่เป็นสาเหตุของ ฟันผุ



3. ดื่มน้ำมาก ๆ

อย่างน้อยวันละ 5 แก้ว ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิด
มะเร็ง ลำไส้ใหญ่ และ กระเพาะปัสสาวะ ได้เกือบ 50%
เชียวล่ะ

4. เปลือยเท้า คลายเคลียด

การย่ำเท้าเปล่าไปบนทรายนุ่ม ๆ จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย
ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของ เลือด

5. รับแสงแดดอ่อน

มีข้อมูลจากการวิจัยระบุว่า ผู้หญิงที่ไม่ค่อยโดนแดดเอาเสีย
เลย มีโอกาสที่จะเป็น มะเร็งเต้านม มากกว่าผู้หญิงที่อยู่ใน
เมืองที่มี แดด เนื่องจาก แสงแดด ช่วยสังเคราะห์ วิตามินดี
ในร่างกาย เราควรรับแดดอ่อนๆ ในช่วงเย็น



6. หันมาทานขนมปังโฮลวีทกันเถอะ

สำหรับอาหารว่างยามบ่าย แทนที่จะทาน คุ๊กกี้ หรือ เค็ก
เปลี่บนมาทาน ขนมปังโฮลวีท สัก 2 แผ่น รับรองว่า จะ
ช่วยให้คุณมีกำลังวังชา และยังไม่ อ้วน อีกด้วยล่ำ

7. สลัดปลาทูน่า เพิ่มความจำ

ใครที่รู้ตัวว่า เริ่มจะหลง ๆ ลืม ๆ ลองหันมาทาน สลัดปลาทูน่า
หรือ อาหารเมนูปลา รวมทั้งเพิ่มอาหารที่มี วิตามินบี 2 เช่น
ไข ถั่วเหลือง นม นอกจากจะช่วยให้อารมณ์ดี ยังช่วยเพิ่มพลัง
ความจำ ให้กับสมองได้



8. เดินไว ๆ ช่วยให้สุขภาพ หัวใจ แข็งแรง

ลองเดินให้ไวขึ้นอีกนิด อาจใช้เวลาเดินในช่วงเช้า หรือหลัง
เลิกงาน ให้ได้วันละ 20 นาที จะช่วยบริหาร หลอดเลือดหัวใจ
ให้แข็งแรง และยังให้หุ่นสลิมสมส่วนเป็นของแถม

9. เติมไขมันดี ๆ ให้ร่างกาย

ไขมัน ไม่ได้เป็นผู้ร้ายซะทีเดียว เพราะมีไขมันหลายชนิดที่
เป็นมิตรกับร่างกายนะ หากร่างกายขาดแคลน อาจมีผลต่อการ
ดูดซึม วิตามิน เอ ดี อี เค และจะทำให้รู้สึกอ่อนเพลียได้
เลือกทานอาหารที่มี ไขมันไม่อิ่มตัว จาก น้ำมันมะกอก น้ำมัน
ถั่ว และ ไขมัน โอเมก้า 3 จากปลา ไม่เพียงให้พลังงาน ทำ
ให้มีเรี่ยวแรง ยังช่วยป้องกัน โรคมะเร็ง และ โรคหัวใจ ด้วย



10. JUST DO NOTHING

ลองหยุดภาระวุ่น ๆ สักสัปดาห์ละวัน หรือวันละ 1 ชม.
ให้ปลอดจากเรื่องงาน และคนรอบข้าง ให้เวลาอยู่คนเดียว
ตามลำพัง จะช่วยให้คุณรู้สึกสงบ อาจจะฟังเพลงเงียบ ๆ
หรืออาบ น้ำอุ่น ๆ แล้วอ่านหนังสือเล่มโปรด ชมดอกไม้
เป็นการเติมความรื่นรมย์ทางด้านจิตใจ ทำให้คุณสดชื่น
และมีความสุข และให้ห่างไกลจากโรครีบร้อน เร่งรีบ จน
แทบไม่มีเวลาสำหรับตัวเอง

ลองทำดู แล้วคุณจะดูดีขึ้นและยังห่างไกลจาก โรคภัย
อีกด้วย




Forward Mail



เคล็ดลับการจัดห้องนอนเพื่อสุขสมหวังในความรัก



*ควรเลือกเตียงที่ทำจากไม้ เพราะเตียงนอนที่ทำจากโลหะนั้นเป็น
สื่อนำไฟฟ้า ซึ่งมีผลกับสุขภาพของคุณ และพยายามนำเครื่องไฟฟ้า
เช่น โทรศัพท์มือถือ ออกห่างจากเตียงของคุณ

*เช็กสภาพแสงภายในห้อง ซึ่งไม่ควรจะแรงเกินไป (หยาง)
หรือสลัวเกินไป (หยิน) และอย่าลืมเรื่องเสียงรบกวนด้วย..
เพราะจะทำให้คุณและคู่รักรู้สึกหงุดหงิดได้

*ถ้าห้องนอนของคุณมีหน้าต่างกระจกใส ที่สามารถชมวิวสวยๆ
นอกบ้านได้ ไม่ควรจะเลื่อนเตียงเข้าไปติดกับหน้าต่างกระจก
หรือวางใกล้กันมากเกินไป แม้ว่าคุณอยากจะนอนชมวิวภายนอก
ใจจะขาด พลังที่ผ่านเข้ามาจากภายนอก แม้จะไม่ทำให้คุณ
กับเค้ามีเรื่องราวถึงกับต้องเลิกกัน แต่ก็จะส่งผลให้นอนไม่หลับ
หรือฝันร้ายอยู่เรื่อยๆ

*ใต้เตียงนอน ไม่ควรเอาของที่ไม่ใช้แล้วไปเก็บไว้ โดยเฉพาะ
ของที่แตกหักยับเยินห้ามเด็ดขาด ! แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ คุณ
ไม่มีที่ไว้ของแล้ว ก็ให้เลือกเก็บแต่ของใหม่ๆ ที่สำคัญต้องจัด
ให้เป็นระเบียบ ถ้าใต้เตียงรกมากๆ หรือเก็บของหักๆไว้ จะทำ
ให้คุณหรือหวานใจมีสุขภาพไม่แข็งแรง แถมยังมีเรื่องวีนใส่
กันได้บ่อยๆอีกด้วย

* หน้าต่างห้องนอน ควรใช้ม่านบังตามากกว่ามู่ลี่กันแดดที่ดู
แข็ง ไม่มีความพลิ้วไหวเหมือนกับผ้า เพราะห้องนี้ต้องการบรร
ยากาศที่นุ่มนวล ไม่ใช่ความเป็นงานเป็นการมากนัก เชื่อกันว่า
ถ้าใช้ม่านบังตาติด จะช่วยเสริมโชคเรื่องความรัก

* หาแจกันดอกไม้ มาวางไว้ในห้องนอนสักหนึ่งอัน หรือจะ
เป็นกระถางต้นไม้ก็ได้ กระถางควรเป็นสีขาว ส่วนต้นไม้ให้เป็น
สีแดงหรือสีชมพู จะช่วยเพิ่มพลังรักให้แข็งแรงมากขึ้น แต่ควร
หลีกเลี่ยงการนำต้นไม้ใหญ่ไว้ในห้องนอน

* ครีเอทหัวเตียงและผนังด้านหัวเตียงให้สวยงาม และถ้าเ
ตียงของคุณตั้งตรงกับประตูทางเข้าห้องนอน แขวนคริสตัล
ไว้ระหว่างเตียงและพื้นที่ส่วนนั้น

* อย่าหันหัวเตียงไปทางห้องน้ำเป็นอันขาด ดวงความรัก
ที่กำลังรุ่งโรจน์ก็อาจจะจะพุ่งลงเหวได้ง่าย เพราะจะต้องมี
แต่เรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันไม่หยุดหย่อน

* ไม่ควรหันปลายเท้าให้กับประตูห้องนอน เพราะเป็น
สัญลักษณ์การนอนของคนตาย ไม่เป็นมงคลอย่างยิ่ง
หากปลายเตียงหันไปทางประตูห้องนอนพอดีล่ะก็..
จะมีเรื่องให้เดือดร้อนใจในครอบครัว สุขภาพไม่ค่อย
แข็งแรง อาจมีคนเจ็บป่วยอยู่เรื่อยๆ ความอบอุ่นในบ้าน
แสนสุขของคุณก็จะลดน้อยลงไป

* พื้นของห้องนอน ควรเป็นพื้นเรียบ มีลวดลายสบาย
ตา หากเป็นพื้นสีเรียบๆได้จะดีที่สุด อย่าเลือกพรมปู
ห้องนอนที่ลวดลายฉวัดเฉวียนน่าเวียนหัว เพราะจะส่ง
ผลให้ความรักของคุณวุ่นวายได้


* อย่าใช้ผ้าห่มสีขาว เพราะหากนำมาคลุมร่าง จะ

เหมือนกับสัญลักษณ์ของคนตาย ผ้าปูที่นอนสีขาวแม้
จะดูสะอาดสะอ้าน..แต่ก็ไม่เหมาะกับห้องนอนนัก
สีขาวโพลนจะส่งผลให้พลังความรักกระจัดกระจาย
เลือกผ้าปูที่นอนที่มีโทนสีอื่นดีกว่า

* หากคุณกับหวานใจวีนแตกใส่กันอยู่บ่อยๆ อาจ
เป็นไปได้ว่าปลายเตียงคุณหันไปทางประตู พลังงาน
ทางลบจะเข้ามาทางนั้น แก้ไขง่ายๆ..ด้วยการแขวน
กระจกบานเล็กๆไว้ที่ปลายเตียง เพื่อสะท้อนพลังอันเลว
ร้ายออกไป

* หาผ้าที่ทอด้วยด้ายสีทอง หรือผ้าที่เป็นสีทองวางไว้
บนเตียง เนื้อผ้าที่ส่องประกายแวววาว จะช่วยให้คุณสร้าง
บทรักบนเตียงที่ประณีตละเมียดละไมขึ้น

* ถ้าช่วงไหนคุณอารมณ์ร้อน อาจจะจากเรื่องงาน เรื่อง
เพื่อน จนพาลโมโหคนรักบ่อยๆ ให้หาชามสวยๆ ใส่ก้อน
หินหรือคริสตัลวางไว้ใต้เตียงนอน จะช่วยทำให้อารมณ์เย็นขึ้น

* อยากให้ความรักของคุณมั่นคง ให้หา หินควอตส์
สีขาวใส ก้อนใหญ่พอประมาณ มาวางไว้ใต้เตียง

* อย่าติดไฟที่ทำให้เกิดแสงส่องเป็นลำ มาที่เตียงของ
คุณอย่างเด็ดขาด เพราะความรักของคุณจะกลายเป็นเรื่อง
ที่ยุ่งเหยิง น่าปวดหัว ให้ย้ายเตียงพ้นลำแสงนั้น ถ้าทำไม่
ได้ให้แขวนสร้อยลูกปัดที่ปลายเตียง เพื่อซึมซับพลังงาน
ที่ขัดแย้ง

* หากคุณกำลังกังวลว่าเขากำลังจะมีกิ๊กหน้าใส ให้เปลี่ยน
ม่านหน้าประตูห้องนอน เป็นม่านที่ร้อยด้วยลูกปัด เชื่อกันว่า
ลูกปัดจะช่วยเก็บพลังงานรักให้อยู่เป็นที่เป็นทางไม่วอกแวก
ไปที่อื่น

* หากเตียงนอนของคุณ อยู่กึ่งกลางระหว่างประตูสองด้าน
เช่น ประตูเข้าห้องและประตูห้องน้ำ ให้ย้ายตำแหน่งของเตียง
หรือไม่ก็หาฉากสวยๆ มากั้น เพื่อให้พลังงานความรักนั้นรวม
กันเป็นหนึ่ง

แหล่งที่มา : ผู้จัดการออนไลน์

วิธีทอดไก่ ให้กรอบนอก นุ่มใน



ใช้เนื้อไก่ ล้างแล้วผึ่งให้แห้ง ตำกระเทียมพริกไทยเม็ด
ให้เข้ากัน ใส่เกลือ นำไปหมักกับไก่อย่างน้อยครึ่งชั่วโมง
จากนั้นเรียงใส่จาน นำไปนึ่งในลังถึง เวลานำลงนึ่งต้องให้
น้ำเดือดก่อน นึ่งจนไก่พอสุก จากนั้นนำออกจากลังถึง
ปล่อยให้เย็นตัวลง พร้อมทั้งผึ่งให้แห้ง

นำไก่ไปคลุกกับแป้งสาลี (หรือจะใช้แป้งชุบทอด ที่ขาย
กันทั่วไปก็ได้) คลุกกับแป้งแห้ง ๆ จากนั้นชุบด้วย ไข่ไก่
ที่ตีเข้ากันแล้ว แล้วนำไปคลุกเกล็ดขนมปัง แล้วเอาไปทอด
ในน้ำมันร้อนจัด ด้วยไฟปานกลาง พอเกล็ดขนมปังสุกเหลือ
จึงช้อนขึ้นพักสะเด็ดน้ำมัน เท่านี้ก็จะได้ไก่ทอด กรอบนอก
นุ่มในค่ะ

อีกวิธีหนึ่ง ถ้าไม่ชอบ แบบชุบเกล็ดขนมปังทอด หลังจาก
นึ่งเสร็จ รอจนไก่เย็นตัวลงแล้ว นำไปชุบกับแป้งทอดกรอบ
เคล็ดลับสำคัญ อยู่ที่ เวลาผสมแป้งกับน้ำ ให้ใช้น้ำเย็น ผสม
ให้แป้งข้นพอชุบติด จุ่มไก่ลงทอด ในน้ำมันร้อนจัดเช่นกัน
ก็จะได้ไก่ทอดกรอบ นอกนุ่มในอีกแบบนึง



thaifooddb.com

สุดยอดตัวล๊อคประตู









Forward Mail

ทำไงดีถ้าแป้งตลับตกแตก






Forward Mail

10 พันธุ์พืชหายากที่สุดในโลก






















Forward Mail

ทำไมนากิสถึงไม่พัดเข้าประเทศไทย?



ขออนุญาตนำกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
มาเล่าสู่กันฟังครับ

เมื่อวันศุกร์ผมได้มีโอกาศได้เข้าค่ายที่ศูนย์ฝึกทหารของค่ายนเรศวร

วันแรกที่เข้าไปก่ะบรรยากาศครึ้มๆ ผมก็ว่าเอ... แปลกๆ นะ ทำไม
อากาศอบอ้าวเหมือนจะมีฝน แต่ก็คิดว่าคงเป็นไปตามสภาพอากาศ
พอไปถึงก็ทำกิจกรรมจนได้เข้าหอประชุมตอนดึกใกล้เวลานอนมากแล้ว
อาจารย์เอกราช ท่านได้มาพูดถึงเรื่องของฝนที่ตกนี้ว่า
'ก่อนหน้านี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ท่านทรงให้คณะทำงาน

เกี่ยวกัยฝนเทียม รีบทำฝนเทียมเพื่อเป็นแนวกันลมพายุดีเปรสชั่น
ซึ่งตอนนั้นยังไม่เกิดขึ้น แต่พระองค์ทรงเหมือนกับเทวดาองค์นึงที่
ทราบเรื่องนี้ก่อน
ถามว่าตอนนั้นกรมอุตุรู้เรื่องนี้ไม๊ .. ไม่มีใครทราบว่าจะเกิดพายุ

ที่ประเทศเมียนม่า (พม่า) ด้วยซ้ำ
พอคณะทำงานด้านฝนเทียมทำงานเสร็จ ด้วยความสำเร็จ...

ผลงานที่พระองค์ได้ทำ ก็ก่อให้เกิดผล เกิดพายุอย่างที่พระองค์
ตรัสไว้ ที่พม่า และพายุนี้ก็ได้สร้างความเสียหาย และสร้างความ
เดือดร้อนให้กับประเทศเมียนมาร์ (พม่า) จนทำให้เกิดความสูญ
เสียอันมหาศาลกับประเทศอันเคยเป็นอริกับเรา .. แต่สำหรับ
ประเทศไทย แนวกำแพงฝนเทียมที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
ได้ทรงสร้างไว้ก็ทำให้เกิดฝนตกเพียงเล็กน้อย ถ้าเทียบกับพายุที่
จริงๆแล้วสามารถสร้างความเดือดร้อนกับประเทศได้มาก
พอผมได้ทราบผมถึงกับอึ้งขนลูกซู่กับสิ่งที่พระองค์ได้ทำไว้ให้กับ

ประเทศของเรา ถึงแม้นจะเป็นเรื่องที่ดีที่ทราบเรื่องนี้ แต่ก็มีเรื่องที่
ทำให้ผมสะเทือนใจกับสิ่งที่บ้านเมืองเป็นแบบนี้
วันที่ 2 ที่เข้าค่าย ครูฝึกได้เปิดวีซีดีเกี่ยวกับพระองค์ให้ดู ผมก็ดู

ไปเรื่อยๆ จนถึงตอนนึงที่เค้าตัดเอาตอนที่พระองทรงเสด็จพระราช
ดำเนิน เพื่อไปส่งเหล่ากษัตริย์จากต่างประเทศ คณะทูตที่มาเข้าเฝ้า
ในงานฉลองศิริราชสมบัตครบ 60 พรรษา ภาพที่ทำให้ผมปวดจี๊ด
ขึ้นมาในหัวใจก็คือ

ตอนที่พระองค์ทรงเสด็จพระราชดำเนินลงบันได
(ขอโทษครับพอดีไม่ทราบว่าเขียนยังไง) พระองค์เกือบหกล้ม
ดีที่ทหารรักษาพระองค์ที่เดินนำหน้าคอยประคองพระองค์ไว้
พอพระองค์ทรงยืนได้ ก็ปัดมืออก ผมไม่ทราบว่าพระองค์ตรัสตรง
นั้นทันทีไม๊ หรือตรัสกับคนสนิทในภายหลังว่า

"ไม่ต้องมาพยุงเรา เราจะเดินให้คนทั่วโลกได้เห็นว่า เราเดินได้
ให้คนทั่วโลกได้เห็นว่าเราสามารถปกครองคน64ล้านคนด้วยตัว
ของเราเองได้"

ถึงตอนนี้แล้ว ..น้ำตาผมคลอเบ้า คนที่ดูกันก็สะอึ้นกันไปหลายคน
ทุกๆคนในที่นั้นเงียบหมดกับคำพูดที่พระองค์ได้ตรัสไว้ ผมได้ยิน
เสียงกระซิบจากเพื่อนข้างๆว่า สงสารพระองค์ที่ต้องมาทรงงาน
อย่างหนัก ถึงแม้นจะอายุเยอะแล้ว แต่พระองค์ก็ยังทรงรักและ
เป็นห่วงลูกหลานของพระองค์ ลูกๆหลานๆที่อยู่ในประเทศนี้ ท่าน
ทรงงานทุกอย่างเพื่อให้คนในประเทศได้สบาย เพื่อคนในประเทศ
ได้อยู่ดีกินดี

อาจารย์ได้บอกกับพวกเราเมื่อวีซีดจบว่า พระองค์เหมือนฝนที่ทำ
ให้ประเทศร่มเย็น เหมือนเทวดาที่ไม่ว่าจะเสด็จพระราชดำเนินไป
ที่ไหนที่นั่นจะชุ่มฉ่ำ ที่ๆ พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปจะพบแต่
ความสงบสุข มีแต่เรื่องดีๆเกิดขึ้นไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไร ท้ายสุด
นี้ผมอยากจะบอกพระองค์หากแม้นมีใครผ่านมาอ่าน ถึงจะเป็นคำ
พูดที่อาจจะได้ยินมาบ่อยๆ แต่ผมก็ไม่สามารถจะคัดกรองคำพูดใดๆ
มาพูดได้อีกนอกจาก

"ขอพระองค์ทรงเป็นมิ่งขวัญของปวงประชา เป็นร่มโพธิทองของ
เหล่าปวงชนชาวไทย ขอพระองค์ทรงพระเจริญตราบนานเท่านาน"


Forward Mail










The One หมื่นรู้ มิสู้ปล่อยวาง
















Forward Mail

สัตว์ในเทพนิยาย
















Forward Mail