Showing posts with label Health. Show all posts
Showing posts with label Health. Show all posts

May 16, 2011

ตำราจีน . . . เรี่องการนอนหลับ


วิธีการรักษาพลังหยางควรนอนไม่เกิน 23:00 น.



May 14, 2011

ระวัง 5 สารพิษใกล้ตัว

โดย mootie | วันที่ 6 พฤษภาคม 2554
http://www.thaihealth.or.th/sites/default/files/users/user-1490/233484.jpg



ในชีวิตประจำวันของพวกเรา มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มาทำให้ชีวิตเราสบายและรวดเร็วมากขึ้น แต่ในทางกลับกันความสะดวกสบายเหล่านั้น ก็อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเราได้ โดยเฉพาะสารพิษ สารเคมีใกล้ตัวที่เป็นภัยต่อสุขภาพและไม่อาจมองข้ามได้

1. เฟอร์นิเจอร์

เครื่องใช้ในบ้านและสำนักงานจำพวกเฟอร์นิเจอร์ไม้มักตรวจพบสารฟอร์มาลดีไฮด์ตกค้าง และสารเคลือบเงาเช่น โทลูอีน ไซลีนและเอธิลเบนซิน รวมถึงสีที่มีสารตะกั่วเป็นส่วนประกอบหลุดลอกจากเฟอร์นิเจอร์ หรือผนังอาคารปะปนกับฝุ่นผงในอากาศ

อาการ : สารฟอร์มาลดีไฮด์ โทลูอีน ไซลีน เมื่อสูดดมเข้าไปบ่อยๆ จะมีอาการระคายเคืองจมูกและลำคอ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ระคายเคืองต่อผิวหนังหรือระบบทางเดินหายใจ ส่วนสารตะกั่วนอกจากจะก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะ เบื่ออาหารแล้ว ถ้าได้รับเป็นเวลานานและปริมาณมากจะมีผล คือ ปวดท้องรุนแรง ทำลายสมอง ไต ระบบการย่อยอาหารและระบบการได้ยิน

วิธี ป้องกัน : ทำความสะอาดห้องทำงานอยู่เสมอ และจัดให้มีการระบายอากาศที่ดี

2. น้ำยาลบคำผิดและกาว

มีส่วนผสมของสารระเหยที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เพราะมีทินเนอร์และสารประกอบอินทรีย์เคมีชนิดต่างๆ ประกอบอยู่ ได้แก่ สารโทลูอีน เบนซิน และสไตลีน ซึ่งมีกลิ่นพิเศษ เฉพาะและระเหยปะปนในอากาศได้ง่าย

อาการ : หากสูดดมในระยะสั้นจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อตาผิวหนัง และระบบทางเดินหายใจ วิงเวียน หน้ามืด มีผลกระทบต่อประสาทส่วนกลาง และเสียการทรงตัวได้ หากสูดดมติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้โครโมโซมในเม็ดเลือดผิดปกติจนถึงขั้นเป็นมะเร็งในเม็ดเลือด หรือหากกลืนสารเหล่านี้เข้าไปและมีการสำลักร่วมด้วยอาจทำให้ปอดอักเสบได้

วิธีป้องกัน : หลีกเลี่ยงการสูดดมและจัดให้มีการระบายอากาศที่ดี

3. ฝุ่นละอองในสำนักงาน

อาจเกิดจากผงหมึกที่กระจายออกมาจากเครื่องถ่ายเอกสาร ฝุ่นเยื่อกระดาษที่อาจพบตามเอกสารต่างๆ บนโต๊ะทำงาน หรือกระดาษปิดผนังหรือวอลเปเปอร์ โดยฝุ่นเหล่านี้สามารถเข้าไปสะสมในปอดได้

อาการ : จะมีอาการไอ จาม และระคายเคืองต่อตา จมูก และคันผิวหนัง หากได้รับบ่อยๆ อาจก่อให้เกิดโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หรือโรคหอบหืดได้

วิธีป้องกัน : ควรจัดวางโต๊ะทำงานไม่ให้หนาแน่น ทำความสะอาดห้องและโต๊ะทำงานเป็นประจำ แบ่งโซนเครื่องถ่ายเอกสารหรือหนังสือให้อยู่ในมุมที่ห่างไกลจากคนทำงาน

4. สารเคมีจากคอมพิวเตอร์

มีผลการศึกษาของนักวิจัยในสวีเดนระบุว่า สารเคมีจากจอคอมพิวเตอร์ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ โดยสารเคมีที่ชื่อ Triphenyl Phosphate ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในจอวิดีโอหรือปากกาเคมี ตลอดจนสเปรย์ปรับอากาศ ซึ่งมีกลิ่นจากสารเคมี

อาการ : ระคายเคืองต่อเยื่อบุจมูกและตาได้

วิธีป้องกัน : ทำความสะอาดห้องทำงานอยู่เสมอ และจัดให้มีการระบายอากาศที่ดี

5. ไอเสียจากรถยนต์

ในระหว่างการเดินทางไปทำงานและกลับบ้านทุกๆ วันท่ามกลางการจราจรอันแออัด คุณแม่มีโอกาสได้รับก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ที่มีการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์จากรถยนต์ที่วิ่งอยู่ตามถนน และอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้สุขภาพของคุณแม่แย่ลงได้

อาการ : ถ้าได้รับปริมาณน้อยๆ อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ หายใจ หอบสั้น คลื่นไส้ ง่วงซึม และการตัดสินใจไม่ค่อยเด่นชัด มีความสับสน แต่ถ้าในระดับความเข้มข้นที่สูงมากๆ ก็ทำให้ประสาทมึนงง ซึม และหมดสติ

วิธีป้องกัน : ใช้ผ้าปิดปาก หลีกเลี่ยงการสูดดมหรืออยู่ในสถานที่ที่ระบายอากาศได้ดี
ที่มา : วิชาการดอทคอม
goodhealth.gifResized_03-คุณจิราภรณ์  สุวรรณประเสริฐ.jpg

อาหารใกล้ตัวทำกรดไหลย้อน




 

ต้องนับว่าเป็นโรคฮิตสำหรับหนุ่มสาวออฟฟิศ รวมถึงผู้คนที่ใช้ชีวิตในเมือง สำหรับ “โรคกรดไหลย้อน” ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากนิสัยส่วนตัว รวมถึงนิสัยการนอน เมื่อเริ่มเป็นมักมีอาการท้องอืด แน่นท้อง ระคายเคืองบริเวณลำคอตลอดเวลา หรือหลังอาหารมื้อหลักจะรู้สึกคลื่นไส้ อยากอาเจียน
แม้ปัจจุบัน การศึกษาและการรักษาทางการแพทย์จะพบว่า ประมาณร้อยละ 90 ของผู้ป่วยที่มีอาการกรดไหลย้อน จะสามารถควบคุมได้ด้วยยา แต่การปรับเปลี่ยนนิสัยในชีวิตประจำวัน จะช่วยบรรเทา และป้องกันได้ยั่งยืนกว่า โดยสามารถเริ่มง่ายๆ จาก “นิสัยการรับประทาน” เพราะอาหารบางอย่างทานแล้วเสี่ยงกรดไหลย้อนเพิ่มขึ้นจึงควรเลี่ยง
นั่นก็คือ “กาแฟ-ช็อคโกแลต-โกโก้” มีคาเฟอีน และสารธีโอโบร์ไมน์ (theobromine) ลองเปลี่ยนมาชงชาสมุนไพรดอกคาโมไมล์ดื่มแทน ช่วยผ่อนคลายประสาท บรรเทาอาการท้องไส้ปั่นป่วนได้
ยังรวมถึง “แอลกอฮอล์-โซดา-น้ำอัดลม” ที่เร่งปฏิกิริยาคาร์บอเนชั่น (Carbonation) โดยฟองอากาศจะขยายภายในกระเพาะอาหาร และเพิ่มความดันมากขึ้น
ส่วน “อาหารทอด-เนื้อสัตว์ไขมันสูง” จากเนื้อวัว, เนื้อหมู, เนื้อแกะ มักกระตุ้นให้เกิดอาการเจ็บหน้าอกจากกรดไหลย้อนขึ้นมาบริเวณหลอดอาหาร ควรทานเนื้อติดมันเพียงสัปดาห์ละครั้ง
สำหรับใครที่กำลังเผชิญ หรือคาดว่าจะเป็น “โรคกรดไหลย้อน” ควรลองปรับเปลี่ยนนิสัยการรับประทานดูใหม่ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จนไม่ต้องพึ่งยาอีกต่อไป

ที่มา เดลินิวส์

May 8, 2011

วิธีแก้สะอึก สะอึกทำอย่างไรดี


สะอึก
สะอึก…เป็นหนึ่งในสิ่งที่สร้างความรำคาญใจให้ใครหลายคน หากสะอึกแค่เดี๋ยวเดียว อาจไม่เป็นปัญหากวนใจนัก แต่หากใครสะอึกติดต่อกันเป็นวัน หรือ หลายๆ วัน แม้หาสารพัดวิธีช่วยให้หายสะอึก ทั้งกลั้นหายใจ ดื่มน้ำ กลืนน้ำตาล ทำอย่างไรก็ไม่เป็นผล นั่นอาจไม่ใช่เรื่องธรรมดา เพราะอาการเช่นนี้อาจเป็นเพราะโรคได้! 


นพ.นรินทร์ อจละนันท์ อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหาร คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ช่วยไขข้อข้องใจให้หายสงสัยเกี่ยวกับการสะอึกว่า อาการสะอึกเกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อกะบังลมที่อยู่ตรงรอยต่อระหว่างช่อง ปอดและช่องท้องที่เกิดขึ้นเองได้โดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่คาดว่าเกิดจากมีสิ่งมากระตุ้นเส้น ประสาท 2 ตัว คือ Vagus nerve และ Phrenic nerve ซึ่งเป็นส่วนที่เชื่อมระบบประสาทต่อกับระบบทางเดินอาหารส่วนต้น โดยเสียงสะอึกที่เกิดขึ้น มาจากการหายใจออกขณะที่กะบังลมเกิดการกระตุกทันทีทันใด ทำให้เกิดเสียงดังของการสะอึกขึ้น

สำหรับลักษณะอาการแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ 1.อาการสะอึกช่วงสั้นๆ อาจเพียง 2-3 นาที 2.การสะอึกหลายๆ วันติดกัน 3. สะอึกติดๆ กันหลายสัปดาห์ และ4.การสะอึกตลอดเวลา โดยที่การสะอึกกลุ่มแรกเป็นการสะอึกช่วงสั้นๆ ที่ไม่มีอันตรายใดๆ แต่การสะอึกติดต่อกันหลายๆ วัน เป็นอาการที่ไม่ธรรมดา เนื่องจากมีสาเหตุมาจากโรคอื่นๆ เช่น ความผิดปกติทางสมอง การเป็นอัมพาต การเป็นโรคทางเดินอาหาร การอักเสบในช่องท้องบริเวณกะบังลม โรคหลอดเลือดสมองตีบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ พิษสุราเรื้อรัง รวมถึงอาการทางภาวะจิตใจ และผลกระทบจากการใช้ยาบางชนิด
"ส่วนมากผู้ป่วยที่มาหาหมอด้วยการสะอึกเป็นระยะเวลานานติดต่อกัน เนื่องมาจากมีอาการผิดปกติทางสอง หรือเป็นอัมพาต ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถให้ยาที่ช่วยบรรเทาอาการสะอึกได้ แต่ก็อาจมีการสะอึกเกิดขึ้นมาอีก เพราะอาการสะอึกเป็นเพราะต่อเนื่องที่เกิดจากการเจ็บป่วย"นพ.นรินทร์อธิบาย

ส่วนวิธีการรักษาบรรเทาอาการสะอึกนั้น นพ.นรินทร์บอกว่า หากเป็นการสะอึกธรรมดาๆ สามารถใช้วิธีการกลั้นหายใจ การกลืนน้ำตาล กระตุ้นบริเวณหลังคอ แต่หากสะอึกติดต่อกันควรที่จะพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุของอาการสะอึกว่าเกิดมาจากอาการของโรคใด โดยอาการสะอึกไม่ถือว่าเป็นโรคแต่เป็นผลมาจากการเป็นโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหาร ดังนั้นหากสามารถทราบสาเหตุของโรคให้ยาตามอาการก็สามารถที่ช่วยให้อาการสะอึกดีขึ้น

 

10 เทคนิคหยุดสะอึก

1.กระตุ้นผิวด้านหลังของลำคอ แถวๆ บริเวณที่เปิดปิดหลอดลม โดยการดึงลิ้นแรงๆ
2.ใช้ด้ามช้อนเขี่ยที่ปิดเปิดหลอดลม
3.กลั้วน้ำในลำคอ
4.จิบน้ำเย็นจัด
5. กลืนน้ำตาลทราย 1-2 ช้อนโต๊ะ โดยไม่ต้องใช้น้ำ หรือ กลืนก้อนข้าว ก้อนขนมปัง ก้อนน้ำแข็งเล็กๆ
6.ดื่มน้ำจากขอบแก้วที่อยู่ด้านนอกหรือด้านไกลจากริมฝีปาก
7.จิบน้ำส้มสายชูที่เปรี้ยวจัด หรือดมสารที่มีกลิ่นฉุน เช่น แอมโมเนีย
8.การฝังเข็ม
9. การสวดมนต์ทำสมาธิ
10. กลั้นหายใจเอาไว้โดยการนับ 1 – 10 แล้วหายใจออก จากนั้นดื่มน้ำตามทันที



Fw.Mails

ตะคริว (ตะคิว)

 

ตะคริว (ตะคิว)

 
ตะคริว คือ การที่มีการหดเกร็งของกล้ามเนื้ออย่างรุนแรงเป็นเวลานาน ซึ่งมักเป็นที่กล้ามเนื้อแขนและขา โดยทั่วไปตะคริวมักเกิดไม่เกินสองนาที แต่อาจมีบางรายเกิดนานได้ถึงห้านาทีหรือนานกว่านั้น ในบางรายอาจเกิดบ่อยจนทำให้เกิดความทุกข์ทรมานได้ โดยทั่วไปตะคริวมักเกิดกับนักกีฬาที่เล่นกีฬาหนัก ผู้สูงอายุ ผู้หญิงมีครรภ์ ผู้ที่สูบบุหรี่จัด ผู้ป่วยโรคไตวายที่ได้รับการรักษาด้วยเครื่องไตเทียมและเกิดในตอนกลางคืน แต่ก็อาจเกิดในคนอายุน้อยและเกิดได้ทุกเวลา อาการนี้ถึงแม้จะไม่ส่งผลเสียถึงแก่ชีวิต แต่อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ถ้าเกิดระหว่างว่ายน้ำ หรือขับรถ อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
 
 

สาเหตุของการเกิดตะคริว

 
สาเหตุ การเกิดยังไม่ทราบแน่ชัด มีหลายทฤษฎี อาจเกิดจากการที่เอ็นและกล้ามเนื้อไม่ได้มีการยืดตัวบ่อยๆ ทำให้มีการหดรั้ง เกร็งได้ง่ายเมื่อมีการใช้กล้ามเนื้อนั้นมากเกินไป นอกจากนั้นยังอาจเกิดจากเซลล์ประสาทและเส้นประสาทที่ควบคุมการหดและคลายตัว ของกล้ามเนื้อทำงานผิดปกติไป และประการสุดท้ายอาจเกิดจากการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อไม่ดีพอซึ่ง มักพบในคนที่มีโรคที่ทำให้หลอดเลือดตีบ เช่น โรคเบาหวาน เป็นต้น ซึ่งอาจแจกแจงสาเหตุเป็นข้อ ๆ ดังต่อไปนี้ 
- ร่างกายที่ขาดน้ำและเกลือแร่ เช่น ท้องเสียอย่างรุนแรง ผู้ที่ทานยาขับปัสสาวะ ผู้ที่เสียเหงื่อมาก
- การออกกำลังกายมากเกินไปโดยไม่ได้อบอุ่นร่างกายก่อน (warm-up)
- การอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานานๆ เช่น นักเขียนเป็นตะคริวที่มือจากการจับปากกาเป็นเวลานาน
- กล้ามเนื้อมีเลือดมาเลี้ยงไม่เพียงพอ เพราะกล้ามเนื้อต้องการออกซิเจนจากเลือดมากขึ้นในขณะที่มีการออกกำลังกายหนัก
- ความผิดปกติของฮอร์โมนบางชนิด เช่น ต่อมธัยรอยด์ทำงานน้อย
 วิธีแก้ตะคริว การดูแลตนเองเมื่อเป็นตะคริว การรักษาอาการตะคริว 
 
วิธีบรรเทาอาการทั่ว ๆ ไป
1. ยืดกล้ามเนื้อที่เป็นตะคริว เช่น ถ้าเป็นที่กล้ามเนื้อน่อง ให้เหยียดเข่าและกระดกปลายเท้าขึ้นหรือยืนกดปลายเท้ากับพื้น งดเขาและโน้มตัวไปข้างหน้า
2. ทาและคลึงเบาๆ ด้วยยาทาแก้ปวดหลังการยืดกล้ามเนื้อแล้ว
3. ประคบด้วยน้ำอุ่น โดยเฉพาะกล้ามเนื้อท้อง
4. ทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล 
ถ้า เป็นบ่อยมากควรหาสาเหตุ ตรวจเช็คว่ายาที่รับประทานอยู่เป็นสาเหตุของตะคริวได้หรือไม่ อาจต้องตรวจหาโรคทางกายดังกล่าวแล้ว อย่างไรก็ตามโดยทั่วไปมักไม่ค่อยพบสาเหตุ
การ รักษาที่ดีดังที่กล่าวไปแล้วคือ การยืดกล้ามเนื้อที่เกิดตะคริว นั้นให้คลายออกอย่างช้าๆ ตัวอย่างเช่น ถ้าเกิดตะคริวที่น่องจะทำให้เกิดเกร็งปลายเท้าจิกชี้ลงพื้นดิน ก็ให้ทำการดันปลายเท้าให้กระดกขึ้นช้าๆ แต่ห้ามทำการกระตุก กระชากรุนแรงอย่างรวดเร็ว เพราะจะเจ็บปวดจนกล้ามเนื้อฉีกขาดได้ ในรายที่เป็นบ่อยๆ มีการใช้ยาบางอย่าง เช่น ควินีนและยาคลายกล้ามเนื้อบางชนิด ซึ่งอาจใช้ในระยะสั้นๆ เช่น 4-6 สัปดาห์และดูการตอบสนอง แต่ผลการศึกษาถึงประโยชน์ยังไม่ชัดเจนนักและอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ใน บางราย เช่น เกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดขาวต่ำ ตับอักเสบ หูอื้อ เสียงดังในหู เวียนศีรษะได้ เป็นต้น ดังนั้นโดยทั่วไปมักไม่ค่อยได้ใช้กันทั่วไป ถ้ามีอาการเกิดขึ้นบ่อยครั้งมาก ควรปรึกษาแพทย์
 

การป้องกัน ตะคริว

 
 
  • มีการอบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลัง
  • ถ้าออกกำลังกายหนักควรดื่มน้ำและเกลือแร่ทดแทนให้เพียงพอ
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะตะคริวมักเกิดในผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอหรือคนที่ขาดการออกกำลังกายที่ดีพอ
  • การฝึกการยืดกล้ามเนื้อบ่อยๆ อาจลดโอกาสการเกิดตะคริวได้ เช่น ที่น่องอาจทำได้โดยการกระดกเท้าขึ้นลง หรือเอามือแตะปลายเท้าขณะเหยียดเข่า ปั่นจักรยานอยู่กับที่ หรือยืนบนส้นเท้าห่างผนัง 1 ฟุตแล้วเอามือทาบผนังและค่อยๆ เหยียดแขนออกเพื่อยืดกล้ามเนื้อประมาณ 30 วินาทีแล้วทำใหม่ เป็นต้น
  • ระวังไม่ให้ร่างกายขาดเกลือแร่ โดยรับประทานผลไม้ที่มีเกลือแร่สูง เช่น กล้วย
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดน้
  • ไม่ควรอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานานๆ
  • งดสูบบุหรี่
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
  • สวมรองเท้าที่พอเหมาะและอาจใส่ถุงเท้าตอนนอนเพื่อป้องกันการเกร็งของเท้า
  • ผู้สูงอายุควรค่อยๆ ขยับแขนขาช้า ๆ และหลีกเลี่ยงอากาศเย็นมากๆ
  • ในรายที่เป็นบ่อยๆ ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแก้ไข
 
 
ข้อมูลจาก : นพ.วีรศักดิ์ เมืองไพศาล
Web Ref. : mahidol.ac.th / th.wikipedia.org

5 ปัญหาช่องปาก ที่คุณรักษาเองได้




วันนี้เรามีวิธีป้องกันปัญหาในช่องปากของคุณมาฝากกัน รับรองได้ผลชัวร์ค่ะ

             
1. เสียวฟัน 
            หยุดใช้ยาสีฟันประเภทไวเทนนิ่ง ขจัดหินปูน หรือยาสีฟันจำพวกเบกกิ้งโซดาสักพัก ยาสีฟันประเภทนี้มีฤทธิ์กัดกร่อนและอาจมีสารฟอสเฟต ซึ่งทำให้เสียวฟัน อย่าแปรงฟันแรงๆ เพราะจะทำให้เหงือกร่น หากความเจ็บปวดไม่จางหาย ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อเสริมฟลูออไรด์ให้ฟันของคุณแข็งแรงขึ้น

             
2. ฟันหลุด 
            ล้างฟันซี่นั้นซะแล้วรีบใส่กลับเข้าไปใหม่ทันที จากนั้น ให้กัดเบาๆ ลงบนสำลีหรือถุงชาชื้นๆ เพื่อให้ฟันเข้าที่ การกระแทกจนฟันหลุดจะทำให้เอ็นยืดปริทันต์ (Periodontal ligament) ฉีกขาด แต่อาจจะมีบางส่วนที่ยังติดอยู่กับตัวฟัน ถ้าต่อเร็วพอฟันก็อาจติดกับเหงือกอีกครั้ง ซึ่งภายในไม่กี่วันจะรู้สึกว่าฟันแข็งแรง และเมื่อผ่านไป 1-2 เดือน ก็จะแข็งแรงเหมือนฟันซี่ใหม่

             
3. เพดานปากหรือลิ้นพอง 
            การที่เพดานปากพอง จะทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นอ่อนตัวลงและติดเชื้อง่ายขึ้น ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้ Kenalog in  Orabase ยาทาคอร์ติโคสเตอรอยด์ซึ่งสร้างชั้นเคลือบลงบนแผลพอง และเร่งการฟื้นตัวสำหรับลิ้นพอง ให้กลั้วปาปกโดยการผสมเกลือ 1 ช้อนชากับน้ำอุ่น 1 แก้ว เกลือ จะดึงเอาเชื้ออกมายังผิวหน้าของเนื้อเยื่อ ซึ่งร่างกายของเราจะทำลายมันเสียนอกจากนี้ เกลือยังทำให้เกิดสภาพเป็นกรดอันจะช่วยฆ่าแบคทีเรียอีกด้วย

             4. ร้อนใน

            หยดน้ำมันพืชลงบนสำลีและกดที่แผลร้อนในวันละ 3-4 ครั้ง ดร.แมรี่ เอลเลน คาไมร์ ที่ปรึกษาด้านโภชนาการจากนิตยสาร Men?s Health กล่าวว่า ?น้ำมันพืชช่วยเคลือบบริเวณที่ร้อนใน และปกป้องบริเวณนั้นจากการระคายเคืองอีกด้วย?

             5. ฟันกร่อนหรือร้าว 
            เกิดจากอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะกินของเย็นจัดหลังของร้อนโดยทันที ซึ่งรอยร้าวนั้นอาจจะเกลี้ยงเกลา หรืออาจทิ้งให้ฟันของคุณเผชิญกับการติดเชื้อหรือฟันผุ แต่ทันตแพทย์สามารถเชื่อมและผนึกรอยร้าว เพื่อไม่ให้ฟันของคุณกลายเป็น Dead Zone! ได้




 โดย :ต้นปาล์ม

น้ำไขสันหลังคั่งในโพรงสมอง

โดย kittipanan | วันที่ 4 พฤษภาคม 2554
http://www.thaihealth.or.th/sites/default/files/users/user-12897/e320_0.jpg

อะไรคือโพรงสมอง ... อะไรคือน้ำไขสันหลัง

สมองของคนเราไม่ใช่เป็นแค่ก้อนเนื้อก้อนไขมันตันๆ สักก้อน หากแต่มันจะมีโพรงอยู่ตรงกลาง เราเรียกมันว่า "โพรงสมอง" ส่วนน้ำไขสันหลัง หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Cerebrospinal fluid ก็คือน้ำที่สร้างขึ้นในโพรงสมอง แล้วไหลเวียนหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลังของเรา อยู่ทั้งในโพรงสมอง และห่อหุ้มทั้งสมองและไขสันหลังของเราไว้ หน้าที่หลักของมันก็คือนำอาหารไปเลี้ยงสมอง และรับเอาของเสียจากสมองไปทิ้ง นอกจากนั้นยังทำตัวเป็นฉนวนลดแรงกระแทกต่อสมองที่อาจจะเกิดขึ้นเวลาที่หัวหรือหลังของเราถูกกระทบกระแทกอีกอย่างหนึ่งด้วย

ร่างกายสร้างน้ำไขสันหลังขึ้นมาโดยสกัดออกมาจากเลือดแดง โดยหลอดเลือดแดงชนิดพิเศษภายในโพรงสมอง และไหลเวียนไปตามโพรงต่างๆ ในสมอง แล้วไหลออกมาอยู่ใต้เยื่อหุ้มสมองและไขสันหลัง จากนั้นก็จะดูดซึมกลับเข้าหลอดเลือดดำใหญ่ที่ผิวสมอง น้ำไขสันหลังถูกสร้างขึ้นวันละประมาณ 500 ซีซี แต่ความจุของโพรงสมองของคนปกติทั่วไปมีแค่ประมาณ 70-80 ซีซี บวกกับช่องใต้เยื่อหุ้มสมองลำไขสันหลังอีก รวมๆ กันก็มีที่ให้น้ำไขสันหลังอยู่ได้ไม่เกิน 150-200 ซีซีเป็นอย่างมาก

การสร้างและการดูดซึมกลับของน้ำไขสันหลังต้องอยู่ในสมดุล เพราะฉะนั้น หากมีอะไรเป็นสาเหตุให้มีการสร้างน้ำไขสันหลังมากขึ้นกว่าปกติมากๆ จนดูดซึมกลับไม่ทัน หรือการดูดซึมกลับมีประสิทธิภาพลดน้อยลง หรือแม้แต่การไหลเวียนของน้ำไขสันหลังจากในโพรงสมองไปยังใต้เยื่อหุ้มสมองและผิวสมอง ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดน้ำไขสันหลังคั่งในโพรงสมองได้ทั้งสิ้น

โรคหรือภาวะผิดปกติที่พบบ่อยและทำให้น้ำไขสันหลังในโพรงสมองมีหลากหลาย อาทิเช่น เนื้องอกของหลอดเลือดส่วนที่ทำหน้าที่สร้างน้ำไขสันหลัง ทำให้น้ำไขสันหลังผลิตออกมามากกว่าปกติ หรือเนื้องอกในโพรงสมองหรือเนื้อสมองที่ไปเบียดทำให้น้ำไขสันหลังไหลเวียนได้ไม่ดี หรือโพรงสมองตีบตัน ทั้งจากการตีบตันแต่กำเนิด หรือมีซีสต์ มีพยาธิ มีก้อนเลือด ก้อนเนื้อไปอุดตันตามโพรงสมองและเส้นทางไหลเวียนของน้ำไขสันหลัง เป็นต้น

ถ้าเกิดในเด็กที่กระหม่อมยังไม่ปิด หรือตะเข็บกะโหลกยังไม่สมานสนิท กะโหลกก็ยังจะพอขยายได้ แต่นานเข้าก็จะทำให้เนื้อสมองบางลงๆ หัวก็จะโตขึ้นๆ กลายเป็นเด็กหัวบาตร หรือหัวแตงโมอย่างที่เห็นๆ กันอยู่ แต่ถ้าเกิดในเด็กโต วัยรุ่น หรือผู้ใหญ่ กระหม่อมปิดแล้ว ตะเข็บกะโหลกก็สมานสนิทแล้ว กะโหลกขยายไม่ได้อีกแล้ว ก็จะมีอาการปวดหัว ชัก หมดสติ และเสียชีวิตได้ เพราะความดันในกะโหลกศีรษะหรือความดันของน้ำไขสันหลังที่เพิ่มสูงขึ้นจากการคั่งของน้ำไขสันหลังนั่นเอง ซึ่งต้องการการรักษาช่วยเหลือให้ทันท่วงที

คราวนี้มาดูภาวะน้ำไขสันหลังคั่งในโพรงสมองที่เกิดในผู้สูงอายุกันบ้างว่ามันเป็นอย่างไร จะเหมือนๆ กับที่เล่าให้ฟังมาแล้วหรือไม่ เกิดจากอะไร และจะแก้ไขได้อย่างไร

ภาวะน้ำไขสันหลังคั่งในโพรงสมองในผู้สูงอายุอาจจะเรียกได้ว่าเป็นการคั่งของน้ำไขสันหลังแบบค่อยเป็นค่อยไป จะเรียกว่าแบบเรื้อรังก็ได้ เกิดขึ้นตามสัจธรรมของพุทธศาสนา หรือความเสื่อมแห่งสังขาร คือเกิดจากการไหลเวียนของน้ำไขสันหลังที่เลวลง ไม่ถึงกับอุดตัน แต่ไหลได้ไม่คล่องเหมือนเดิม ป ระกอบกับตัวกรองน้ำไขสันหลังกลับเข้าเลือดดำที่หลอดเลือดดำตรงผิวสมองก็ทำงานได้ไม่ดีเหมือนเดิม อาจจะเพราะใช้งานมานาน มีตะกรันตะกอนมาอุดตัน หรืออะไรก็ตามแต่ ซึ่งแม้การสร้างน้ำไขสันหลังจะไม่เปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ แต่ก็สามารถทำให้น้ำไขสันหลังคั่งค้างสะสมอยู่ในโพรงสมองได้ วันละเล็กวันละน้อย จะว่าไปอาจจะคั่งค้างเพียงแค่วันละไม่ถึงซีซีด้วยซ้ำไป แต่นานเข้าๆ เป็นปี เป็นหลายๆ ปี มันก็คั่งจนทำให้โพรงสมองขยายโตขึ้นที่ละน้อยจนเบียดเนื้อสมองได้ในที่สุด เป็นเพราะภาวะน้ำไขสันหลังคั่งในโพรงสมองชนิดที่เกิดในผู้สูงอายุนี้เกิดอย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป จึงทำให้ร่างกายทนการเปลี่ยนแปลงที่ค่อยเป็นค่อยไปนี้ได้นานกว่าการคั่งของน้ำไขสันหลังในกรณีอื่นๆ อย่างไรก็ดี เมื่อถึงจุดหนึ่งอาการผิดปกติก็ย่อมปรากฏให้เห็น

เปล่าเลย อาการของภาวะน้ำไขสันหลังคั่งในโพรงสมองที่สำคัญไม่ใช่ปวดหัว แต่เป็นการทำงานของสมองที่เปลี่ยนไป ความจำที่แย่ลง การเดินที่ผิดปกติ เดินลำบาก หรือเดินไม่ได้ดี ล้มบ่อย มีอาการเกร็ง อาการสั่นของแขนขา คล้ายคนเป็นโรคพาร์กินสัน กลั้นปัสสาวะไม่อยู่คล้ายคนที่ต่อมลูกหมากโต ก็เพราะการที่มันมีอาการคล้ายโรคอื่นๆ หลายอย่างแบบนี้นี่เองที่ทำให้บางครั้งภาวะน้ำไขสันหลังคั่งในโพรงสมองถูกละเลย ถูกมองข้ามไป

การวินิจฉัยในสมัยนี้ทำได้ไม่ยาก ตั้งแต่การตรวจที่ไม่เจ็บตัว เช่น การใช้เครื่องตรวจสมองด้วยสัญญาณแม่เหล็ก (MRI  brain  scan) ตรวจดูขนาดของโพรงสมอง ตรวจวัดการไหลเวียนของน้ำไขสันหลัง วัดความเร็วการไหลของน้ำไขสันหลังในโพรงสมอง ไปจนถึงการตรวจที่ต้องเจ็บตัวสักหน่อย แต่ให้การยืนยันการวินิจฉัยที่แน่นอน เช่น การเจาะไขสันหลังเพื่อวัดความดันน้ำไขสันหลังโดยตรง เอาน้ำไขสันหลังออกมาตรวจ และลองระบายน้ำไขสันหลังทิ้งสัก 40-80 ซีซี หากความดันน้ำไขสันหลังสูงกว่าปกติและเมื่อระบายน้ำไขสันหลังออกเสียบ้าง อาการต่างๆ ก็ดีขึ้น เช่น เดินดีขึ้น ไม่เซไม่ล้มง่าย สั่นน้อยลง เกร็งน้อยลง อย่างนี้ก็เชื่อขนมกินได้เลยว่าเกิดภาวะน้ำไขสันหลังคั่งในโพรงสมองแล้วแน่นอน

สำหรับการรักษาสมัยนี้ไม่ยากเลย เพียงแค่เปลี่ยนทางเดินของน้ำไขสันหลังจากที่มันจะต้องไปดูดซึมกลับที่ผิวสมองเพียงที่เดียว ให้ไปดูดซึมกลับโดยเยื่อบุช่องท้องอีกแรงหนึ่งเท่านี้ก็เรียบร้อย

หลังการรักษาที่ถูกต้อง คนไข้จะสามารถกลับมาใช้ชีวิตที่เป็นปกติได้อีกนาน หลายรายที่เคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคพาร์กินสัน สามารถลดยาที่กินลงได้มาก และมีอีกจำนวนหนึ่งที่อาจจะหยุดยาไปได้เลย อย่างไรก็ดี ต้องเข้าใจไว้ด้วยว่าภาวะนี้คือภาวะที่เกิดขึ้นตามสัจธรรมแห่งสังขารที่เป็นอนิจจัง เพียงแต่ทำอย่างไรจะช่วยให้ผู้สูงวัยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีความสุขกับลูกหลาน เป็นกำลังใจ เป็นที่เคารพให้ลูกหลาน ดูแลท่านให้สมกับที่ท่านได้เลี้ยงดูเรามา มีบุญคุณกับเราอย่างชนิดที่ไม่สามารถทดแทนได้หมด ไม่ว่าจะเกิดอีกกี่ชาติก็ตาม

ที่สำคัญ สักวันหนึ่งเมื่อเราสูงวัย เราก็มิอาจหนีสัจธรรมนี้ไปได้เช่นกัน
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ โดย...นายแพทย์วทัญญู ปรัชญานนท์

Apr 21, 2011

รู้จักไฟโตนิวเทรียนท์

ไฟโตนิวเทรียนท์ เป็นคำที่ได้ยินกันบ่อยขึ้นในปัจจุบัน หลายคนคงสังสัยว่า ไฟโตนิวเทรียนท์นั้นคืออะไร มีประโยชน์ต่อร่างกายเราเพียงใด เรามาทำความรู้จักกับไฟโตนิวเทรียนท์กันค่ะ
1.jpg

ไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrient) เป็นสารอาหารธรรมชาติที่มีอยู่มากในผักและผลไม้ซึ่งมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย โดยเฉพาะคุณสมบัติที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) จากธรรมชาติ จึงสามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคได้หลายชนิด เช่น โรคหัวใจ ต้อกระจก โรคมะเร็ง โรคทางภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ผิวพรรณไม่เสื่อมสภาพเร็ว เป็นต้น
เรารู้กันดีอยู่แล้วว่า การรับประทานผักผลไม้เป็นประจำทุกวันนั้นมีประโยชน์ต ่อร่างกายเพราะทำให้เราได้รับทั้งวิตามินและแร่ธาตุนานาชนิด ยิ่งมารู้จักกับไฟโตนิวเทรียนท์แล้วเราก็ยิ่งต้องให้ความสำคัญกับการรับประทานผักผลไม้ และควรรับประทานให้หลากหลายด้วย เพราะผักผลไม้แต่ละชนิดมีไฟโตนิวเทรียนท์ที่มีประโยช น์แตกต่างกัน เช่น
ทับทิม มีสารประเภทฟลาโวนอยด์ ช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยทำให้โคเลสเตอรอลลดลงและลดความเสี่ยงการเกิดโรคห ัวใจ
แครอท มีเบต้าแคโรทีน รวมทั้งมะเขือเทศมีไลโคปีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งไลโคปีนสามารถช่วยลดโอกาสการเกิดโรคมะเร็งด้วย
อะเซโรลา เชอร์รี มีวิตามินซี ช่วยสร้างภูมิต้านทานโรค ทำให้ผิวพรรณสดใส
บร็อคโคลี มีซัลโฟราเฟน ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง
แอปเปิล มีโพลีฟีนอล สารต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ และมะเร็ง
มะกอก มีโอลีโรเปอิน ช่วยลดความเสื่อมของเซลล์ และลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง
เมล็ดองุ่น มีโปรแอนโธไซยานิดินช่วยยับยั้งการทำลายหลอดเลือดจากโคเลสเตอรอล
เปลือกขององุ่นเขียว แดง และม่วง มีเรสเวอราทรอล ช่วยเสริมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงและทำให้มีอายุยืน
ขมิ้น มีเคอร์คิวมิน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มการสร้างเซลล์
ผักโขม มีใยผักและวิตามินแร่ธาตุหลายชนิด ซึ่งผักผลไม้ต่างๆ เหล่านี้ซื้อหาและสามารถทำเป็นอาหารต่างๆ ได้ไม่ยากเลย

Thank you : Fw.Mails (Good Morning)

Dec 14, 2010

ทำกายบริหารสำหรับผู้สูงอายุ

Pic_131434 

ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านวัยเลขหลักเยอะๆ อาจจะมีอาการปวดเมื่อย เคลื่อนไหวไม่คล่องตัว จะให้ออกกำลังกายประเภทออกแรงมากๆ ก็อาจเป็นอันตรายได้ ลองนำท่ากายบริหารง่ายๆ ไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์ที่ยุ่งยาก และยังช่วยยืดเส้นยืดสายโดยสามารถนำไปปฏิบัติได้ง่ายๆ ที่บ้าน เริ่มต้นด้วย

ท่าที่ 1 ดังนี้

ท่าที่ 1 เหยียดแขน กำมือ


นั่งตัวตรงเหยียดแขนไปข้างหน้าขนานกับพื้น แบฝ่ามือออก กำมือให้แน่น นับ 1 2 3 ช้าๆ ค่อยๆคลายมือออก ทำ 20 ครั้ง


ท่าที่ 2 เหยียดแขน พับข้อศอก


นั่งตัวตรงหลังไม่พิงพนักเก้าอี เหยียดแขนไปด้านหน้าโดย     หงายฝ่ามือขึ้น พับข้อศอกเข้าหาลำตัวโดยให้ต้นแขนด้านบนขนานกับพื้น เหยียดแขนออกกลับสู่ท่าเดิม ทำ 20 ครั้ง


ท่าที่ 3 หมุนไหล่


นั่งตัวตรงหลังไม่พิงพนักเก้าอี้ มือจับที่หัวไหล่ทั้งสองข้างแล้ว  กางข้อศอกออกด้านข้างลำตัว หมุนหัวไหล่ไปด้านหน้า 10 ครั้ง แล้วให้เปลี่ยนหมุนกลับไปด้านหลังอีก 10 ครั้ง


ท่าที่ 4 นั่งตัวตรง ยกปลายเท้าและส้นเท้า



นั่งตัวตรงหลังไม่พิงพนักเก้าอี้ วางเท้าชิดกันทั้งสองข้าง หัวเข่าชิดกัน ยกปลายเท้าขึ้นจากพื้นให้มากที่สุดทั้งสองข้าง วางปลายเท้าลงกับพื้นกลับสู่ท่าเริ่มต้นแล้วยกส้นเท้าขึ้น จากพื้นให้มากที่สุดทั้งสองข้าง วางส้นเท้าลงกับพื้นกลับสู่ท่าเริ่มต้น ทำ 20 ครั้ง


ท่าที่ 5 ยกขา


นั่งตัวตรงหลังไม่พิงพนักเก้าอี เหยียดขาซ้ายออกแล้วกระดกปลายเท้าเข้าหาลำตัว ยกเท้าขึ้น-ลงช้าๆ แล้วเปลี่ยนเป็นยกเท้าขวา ทำข้างละ 20