Instruction | Article | Entertainment | Variety | Health | Life Style | Sport | News | Idea | Goods | So Good | Max Idea | Foods | ***รวบรวมเรื่องราวดีๆ ทั้งบทความ ข้อแนะนำ หรือแม้แต่ความบันเทิง ตลอดจนถึงเรื่องราวทางด้านการดูแลสุขภาพ หรือเรื่องเตือนภัย ข้อคิดดีๆ มีรวบรวมเอาไว้แบ่งปันให้กับทุกคนที่นี่***
May 23, 2008
ฮือพบบ่อน้ำพุร้อนกรุงเก่าต้มไข่10นาทีสุก
ชาวบ้านเมืองกรุงเก่าฮือฮาแห่กันนำไข่ไปต้มในหลุมน้ำพุร้อน
พบอยู่ใกล้กับหมู่บ้านญี่ปุ่น ส่งกลิ่นกำมะถันคลุ้งไปทั่ว เชื่อเป็นเพราะเหตุการณ์แผ่นดินไหวอาจทำให้ใต้แผ่นดินเปลี่ยน
แปลง วอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ
เมื่อเวลา 17.00 น.วันที่ 18 พ.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก
ประชาชนที่อยู่บริเวณชุมชน ม.7 ต.เกาะเรียน อ.พระนคร
ศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ว่า พบน้ำร้อนอยู่ในบ่อน้ำ
ใกล้กับร้านขายของชำ ริมถนนสายอยุธยา-บางปะอินสาย
ใน เลยวัดพนัญเชิงวรวิหาร ไปประมาณ 500 เมตร ก่อน
ถึงหมู่บ้านญี่ปุ่น จึงได้เดินทางไปพิสูจน์ข้อเท็จจริง
พบว่าบริเวณริมถนนมุ่งหน้าไป อ.บางปะอิน เป็นร้านขาย
ของชำ เลขที่ 1/9 ม. 7 ต.เกาะเรียน อ.พระนครศรีอยุธยา
ปลูกเป็นบ้านหลังเล็กๆ ยกพื้นสูง อยู่ห่างจากถนนประมาณ
5 เมตร ที่พื้นด้านล่างใกล้กับเสาไฟฟ้ามีหญ้าขึ้นรก และยัง
มีรางน้ำไหลผ่าน ห่างจากลำลางน้ำประมาณ 1 เมตรเข้า
ไปทางใต้ถุน เป็นหลุมน้ำเล็กๆเดือดปุดๆขึ้นมา มีควัน
และกลิ่นกำมะถันคลุ้งไปประชาชนที่อยู่บริเวณนั้นจึงได้
ทดลองนำไข่ไก่ลงไปวางปรากฎว่าไข่สุกในเวลาประมาณ
7-10 นาทีเท่านั้น
นายไพรวัลย์ ธรรมพร อายุ 44 ปี เจ้าของร้านขายของ
ชำ ได้ลงไปขุดให้บ่อน้ำดังกล่าวกว้างเส้นผ่าศูนย์กลาง
ประมาณ 20 ซ.ม. ลึกประมาณ 1 ฟุตเศษ ปรากฎว่า
มีควันคลุ้งออกมามากกว่าเดิม และมีกลิ่นเหม็นฉุน
เหมือนกำมะถัน และเมื่อนำไข่ลงไปต้มอีก ก็ปรากฎว่า
ไข่ที่ต้มสุกทุกฟองอย่างรวดเร็ว
นายไพรวัลย์ เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงบ่ายวัน
เดียวกัน ขณะที่ตนและลูกสาว กำลังนั่งเล่นอยู่ที่ระเบียง
บ้าน ก็มองลงไปเห็นมีตาน้ำผุดขึ้นมา และมีควันขึ้น
จึงได้ลงไปดู เอามือแตะๆก็พบว่ามีความร้อนจึงได้
ลองเอาไข่วาง ปรากฎว่าไข่สุกในเวลา 7-10 นาที
จึงได้ขุดให้กว้างขึ้นอีก แล้วลองต้มอีก ปรากฎว่าไข่
ก็สุกอย่างรวดเร็ว ตนได้ให้เจ้าหน้าที่ของการไฟฟ้ามา
ดูว่าเกิดจากกระแสไฟฟ้ารั่วหรือไม่ เนื่องจากมีเสาไฟฟ้า
อยู่ แต่ทางเจ้าหน้าที่ไฟฟ้าก็ยืนยันว่าไม่มีกระแสไฟฟ้า
รั่วแต่อย่างใด เนื่องจากลำรางน้ำที่อยู่ใกล้ก็ไม่ได้รับ
ผลอะไร ปลายังสามารถว่ายน้ำได้ด้วย ซึ่งร้านของตน
ปลูกมากว่า 20 ปีแล้วยังไม่เคยเกิดปรากฎการณ์เช่น
นี้มาก่อน
นายสำเริง อดิศะ อายุ 48 ปี ประชาชนที่เดินทางมาดู
เปิดเผยว่า เชื่อว่าน่าจะเป็นน้ำพุร้อน และเกิดจากสาเหตุ
ของแผ่นดินไหวเกี่ยวกับรอยเลื่อนของเปลือกโลกที่ทำ
ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของใต้พื้นโลก อยากให้เจ้าหน้า
ที่หรือนักวิชาการมาดู หากเป็นน้ำพุร้อนจริงจะได้เป็น
แหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่
May 22, 2008
บทที่ 21 การใช้คำสั่ง each และ list สำหรับ associative array
ถ้าเราต้องการจะเข้าถึงข้อมูลแต่ละคู่ที่ถูกเก็บอยู่ใน associative
array เราอาจจะใช้วิธีเรียกผ่านฟังก์ชัน each() และ list() ตามตัว
อย่างต่อไปนี้
ฟังก์ชัน each() จะอ่านข้อมูลทีละคู่จากอาร์เรย์แบบเชื่อมโยง
มาแล้วส่งไปยังฟังก์ชัน list() ซึ่งจะทำหน้าที่แยกเก็บ ซึ่งในกรณี
ก็คือ เก็บไว้ในตัวแปร $key และ $value หลังจากนั้น เราก็สามารถ
นำค่าของตัวแปร ไปใช้งานตามที่ต้องการได้
จาก ชมรมเว็บเพจไทย
บทที่ 20 การใช้อาร์เรย์สองมิติ (2 Dimension Array)
ถ้าเราต้องการจะใช้อาร์เรย์แบบสองมิติ (หรือมากกว่า)
ก็ทำได้เช่นกัน คือชื่อตัวแปรแล้วตามด้วย [..][..] ตัวอย่างเช่น
สังเกตว่า สำหรับการใช้งานตัวแปรที่เป็นอาร์เรย์ เราไม่จำเป็น
ต้องแจ้งใช้ตัวแปรที่เป็นอาร์เรย์ พร้อมกำหนดขนาดก่อนการใช้งาน
อาร์เรย์แบบเชื่อมโยงหรือ associative array
การเก็บข้อมูลในอาร์เรย์แบบนี้จะใช้กับข้อมูลที่จัดเก็บเป็นคู่ๆไป ซึ่งแตกต่างจากอาร์เรย์แบบแรกที่เราได้ทำความรู้จัก ตัวอย่างเช่น
ใช้ทำ lookup table เช่น สมมุติว่า "red" ให้แทนค่า 0xff0000
"green" ให้แทนค่า 0x00ff00 และ "blue" 0x0000ff โดยเก็บไว้
ในอาร์เรย์ชื่อ $color_table ตามตัวอย่างต่อไปนี้
หรืออีกรูปแบบหนึ่งที่เขียนสร้างอาร์เรย์ดังกล่าวได้ โดยใช้คำสั่ง
array()
เราอาจจะสร้างอาร์เรย์เป็นสองมิติก็ได้ เช่น
จาก ชมรมเว็บเพจไทย
บทที่ 19 การใช้อาร์เรย์ (Array)
อาร์เรย์ในภาษา PHP นั้นจะแตกต่างจากอาร์เรย์ในภาษาซี
หรือจาวาตรงที่ว่า อาร์เรย์ในภาษา PHP มีขนาดที่เปลี่ยน
แปลงได้ หรือจะเรียกว่า dynamic array หรือ vector (สำหรับ
อาร์เรย์มิติเดียว) เริ่มต้นอาจจะแจ้งใช้ตัวแปรแบบอาร์เรย์
พร้อมเจาะจงขนาดเริ่มแรก เช่น มีขนาดเป็นศูนย์ก็ได้
แต่เมื่อใช้อาร์เรย์ไป ขนาดของมันจะปรับเปลี่ยนได้
คือขยายจำนวนข้อมูลที่เก็บอยู่ภายในอาร์เรย์ ตาม
จำนวนข้อมูลที่เราใส่เพิ่มเข้าไป จากตัวอย่างข้างบน
ในกรณีที่เรามิได้กำหนดเลขดัชนี (index) ก็หมายความ
ว่า จะมีการขยายขนาดของอาร์เรย์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง
โดยอัตโนมัติ ทุกครั้งที่เราใส่ข้อมูลที่อยู่ทางขวา
และค่าที่เรากำหนดจากทางขวามือ และจะเก็บไว้ใน
ที่ใหม่ของอาร์เรย์ เราไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องการจอง
หรือ ปลดปล่อยหน่วยความจำของอาร์เรย์ เหมือน
อย่างในกรณีของอาร์เรย์ แบบไดนามิกในภาษาซี
นอกจากนั้นข้อมูลแต่ละตัวในอาร์เรย์ไม่จำเป็น ต้อง
เป็นข้อมูลชนิดเดียวกัน เช่น อาจจะมีทั้งจำนวนเต็ม
เลขทศนิยม และข้อความ ปะปนกันไป ตัวอย่างเช่น
ถ้าเราต้องการจะทราบจำนวนของข้อมูลที่มีอยู่ในอาร์เรย์เรา
จะใช้คำสั่ง count() เทคนิคหนึ่งที่ใช้ในการสร้างอาร์เรย์ที่เก็บหลายๆ
ข้อความหรือสตริงค์ คือ แทนที่เราจะกำหนดค่าของสมาชิก
ในอาร์เรย์ทีละตัวเราจะสร้างได้โดยอัตโนมัติ โดยเก็บสตริงค์เหล่านั้น
ไว้ในสตริงค์เพียงอันเดียวโดยมีสัญลักษณ์ เป็นตัวแยก และก็แล้ว
ใช้ฟังก์ชันเป็นตัวแบ่งเพื่อสร้างอาร์เรย์อีกที ตามตัวอย่าง
ลองดูอีกตัวอย่างหนึ่งที่ใช้ฟังก์ชัน explode() สร้างอาร์เรย์โดย
อัตโนมัตสำหรับใส่ไว้ใน FORM ในส่วนของ SELECT เป็นเมน
ูให้เลือก
จาก ชมรมเว็บเพจไทย
บทที่ 17 การเปรียบเทียบตัวเลขสำหรับสร้างเงื่อนไข
เราสามารถสร้างเงื่อนไขจากการเปรียบเทียบมาก
กว่าน้อยกว่านี้ได้ซับซ้อนมากขึ้นโดยใช้ "และ" "
หรือ" "ไม่" มาประกอบ ตัวอย่างเช่น
การใช้ || และ && มีลักษณะการทำงานเหมือนในภาษาซี
อย่างกรณีของ ($x || $y) ถ้า $x เป็นจริงจะไม่มีการพิจารณา
$y และสำหรับ ($x && $y) ถ้า $x เป็นเท็จแล้วจะไม่มีการ
พิจารณา $y ต่อ
จาก ชมรมเว็บเพจไทย
บทที่ 16 การแบ่งสายงานโดยจำแนกตามเงื่อนไขแบบ switch-case
เรายังสามารถใช้โครงสร้างแบบ switch-case ได้ ตัวอย่างเช่น
ถ้าตัวแปร $day มีค่าที่อยู่ระหว่าง 1 ถึง 7 ก็จะพิมพ์ชื่อวัน
เป็นภาษาอังกฤษ ถ้าตัวแปรมีค่านอกเหนือจากนั้น ซึ่งใน
กรณีจะเป็น default ในโครงสร้างแบบ switch-case ก็จะ
พิมพ์คำว่า error เพื่อให้ผู้ใช้ทราบโปรดสังเกตว่า ในแต่
ละกรณี จะต้องจบด้วยคำสั่ง break; ยกเว้นแต่ของ default
ซึ่งจะมีหรือไม่ก็ได้ ถ้าเราไม่ได้ใส่คำสั่ง break; เอาไว้
โปรแกรมก็จะกระทำคำสั่งทุกคำสั่งในกรณีที่อยู่ถัดมา
การจำแนกกรณีไม่จำเป็นต้องอาศัยเฉพาะตัวแปรที่เก็บค่า
จำนวนเต็มเท่านั้น ข้อมูลแบบอื่นก็ใช้ได้ เช่น ใช้ข้อความ
เป็นตัวจำแนกกรณี เช่น
โปรดสังเกตว่า การจำแนกโดยใช้ข้อความนี้ จะดูความแตก
ต่างระหว่างตัวพิมพ์เล็กหรือใหญ่ด้วย
จาก ชมรมเว็บเพจไทย
บทที่ 15 การใช้ break และ continue ภายในลูป
คำสั่ง break และ continue ภายในลูปอย่างที่ใช้กันในภาษาซี
ก็นำมาใช้กับภาษา PHP ได้ ตัวอย่างเช่น
คำสั่ง continue บังคับให้ไปเริ่มต้นทำขั้นตอนในการวนลูป
ครั้งต่อไป ส่วน break นั้นส่งผลให้หยุดการทำงานของลูป
จาก ชมรมเว็บเพจไทย
งานนกประดิษฐ์’ สำลีย้อมสีรายได้สวย
“ช่องทางทำกิน” วันนี้ทางทีมงานนำข้อมูลงานหัตถกรรม “นก
ประดิษฐ์จากสำลี” ชิ้นงานสวย ๆ มานำเสนอ ซึ่งเมื่อประดิษฐ์เป็น
นกแล้วก็สร้างสรรค์ต่อยอดเป็นชิ้นงานต่าง ๆ ได้หลากหลายน่าสน
ใจ...
น้อย-กตภรณ์ พิบูลธรรมนนท์ เจ้าของ “งานประดิษฐ์นกจากสำลี”
เล่าว่า งานตัวนี้ทำเป็นอาชีพเสริมหารายได้เพิ่มเสริมจากอาชีพ
หลักที่ทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวอยู่ที่สำนักพัฒนาอุตสาหกรรมใน
ครอบครัวและหัตถกรรมเหตุที่หันมาทำงานประดิษฐ์เป็นอาชีพเสริม
นั้นเริ่มมาจากการที่ช่วงก่อนหน้านี้มีภาระที่ต้องใช้เงินส่งลูกเรียน
เงินเดือนที่ได้ประจำอยู่ก็ไม่มากพอ จึงคิดทำอาชีพเสริม
“เรียนจบมาทางด้านศิลปะ จึงมีความคิดที่จะทำงานศิลปะ งาน
ประดิษฐ์เป็นอาชีพเสริม เพราะพอจะมีความรู้อยู่บ้าง เริ่มจากทำ
ดอกไม้กระดาษสา ก็ได้รับความนิยมจากนั้นก็เริ่มมีความคิดที่
จะหาสิ่งของมาทำการตกแต่งสินค้าเพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่า จึงได้ไปซื้อนกประดิษฐ์ตามร้านมาตกแต่งกับดอกไม้เพิ่ม แต่
พอสั่งซื้อเป็นจำนวน มาก ๆ ก็มักจะมีปัญหาติดขัด จึงมีความ
คิดที่จะทำขึ้นเอง โดยใช้ความรู้ความสามารถที่มีอยู่”
เริ่มแรกเจ้าตัวก็นำนกประดิษฐ์ที่ซื้อมาแกะดูเป็นแบบ จาก
นั้นก็เริ่มศึกษาการทำเอง รวมทั้งไปเรียนเพิ่มเติมด้วย พอทำได้ก็ทำออกมาจำหน่ายโดยการประดิษฐ์ตกแต่งเป็น
ชิ้นงานต่าง ๆ เช่นทำเป็น โมบาย รูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งสินค้า
อื่นๆ โดยมี มนัส คงรอด เป็นหุ้นส่วนและเป็นคนออกแบบ
ผลิตภัณฑ์ให้
วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำนกประดิษฐ์นั้น มีดังนี้... โฟม
หนาประมาณ 1.5 นิ้วขึ้นไป, กาวลาเท็กซ์, พู่กัน, สำลี, สี,
คัตเตอร์, กระดาษทราย เป็นต้น
“โฟมที่นำมาทำอาจใช้โฟมที่ติดมาจากลังใส่เครื่อง
ใช้ไฟฟ้าก็ได้ เพื่อประหยัดต้นทุน กาวลาเท็กซ์นั้น
จะต้องผสมน้ำ โดยทำเป็นชนิดข้น กับชนิดเจือจาง
โดยชนิดข้นนั้นจะผสมกาว 3 ส่วน ต่อน้ำ 1 ส่วน ชนิด
เจือจาง ผสมกาว 1 ส่วน ต่อน้ำ 3 ส่วน”
เจ้าของผลงานบอกอีกว่า สำหรับสีที่ใช้ย้อมสำลี จะใช้
สีผสมอาหารหรือสีอะไรก็ได้ แต่ที่ทำอยู่จะใช้ สีบาติก
เพราะได้สีที่สวยสดใส โดยการผสมสีสำหรับทำการย้อม
นั้น มีเทคนิคเล็กน้อยคือ การผสมสีนั้นต้องใช้น้ำร้อน
และใส่เกลือผสมลงไปด้วย ที่ต้องผสมเกลือลงไปในสี
ก็เพื่อให้สีจับกับสำลีได้ทนนาน และเมื่อย้อมเสร็จควรนำ
ไปตากให้แห้งเพื่อป้องกันเชื้อรา
ขั้นตอนการทำ กตภรณ์บอกว่าเริ่มจาก...วาดแบบนกที่
ต้องการทำลงบนกระดาษเพื่อเป็นแบบ จากนั้นนำไปทาบ
กับโฟมแล้วตัดโฟมให้ได้ตามแบบ ให้ได้รูปทรงสัดส่วน
ตามที่ต้องการ หลังจากนั้นตกแต่งลบเหลี่ยมมุมให้เรียบ
ร้อย แล้วใช้กระดาษทรายละเอียดขัดให้ผิวโฟมเรียบ
เมื่อได้รูปร่างตัวนกตามที่ต้องการ จากนั้นก็มาถึงขั้นตอน
การทำขน โดยนำสำลีที่ทำการย้อมสีตามต้องการเตรียม
ไว้แล้วติดลงไปบนตัวนกโฟม การติดสำลีนั้นให้ใช้มือคลี่
สำลีให้ได้แผ่นตามที่ต้องการ ไม่ให้มีความหนาหรือบาง
เกินไป การติดสำลีลงบนโฟมจะใช้กาวลาเท็กซ์ชนิดข้นติด
จากนั้นก็ใช้พู่กันจุ่มกาวชนิดเจือจาง แล้วทำการเกลี่ยลง
ไปบนสำลีที่ติดกับโฟมเบา ๆ
“การใช้พู่กันชุบกาวเจือจางมาเกลี่ยลงบนสำลีนั้นไม่ควรชุบ
จนชุ่มเปียกจนเกินไป เพราะเวลาเกลี่ยลงบนสำลีจะทำให้
สำลีเปียกเกิน เวลาแห้งสำลีจะแข็ง งานก็จะไม่สวย”
สำหรับการติดสำลีทำเป็นขนนกนี้ ต้องทำเป็นส่วน ๆ เริ่ม
จากการติดที่ใต้ท้องก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ไล่ไปทำ
ปีก แล้วก็ติดปากนกก่อนจึงจะมาติดที่ส่วนหัวเพื่อให้สำลี
ปิดส่วนที่ทำปาก งานจะได้เรียบ สวยงาม ที่สำคัญก่อนที่
จะไปติดขนนกส่วนอื่นต้องรอให้ส่วนที่ทำ
ไว้แห้งสนิทเสียก่อน
เมื่อได้นกประดิษฐ์เรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็เป็นขั้นตอนการ
ตกแต่งทำเป็นสินค้าที่สามารถเพิ่มมูลค่าได้อีก ซึ่งจะทำเป็น
อะไรก็ตามแต่ไอเดีย อย่างของกตภรณ์ก็จะประดิษฐ์ทำเป็น
ชิ้นงานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโมบายแบบต่าง ๆ โดยใช้
วัสดุหลากหลายมาประดิษฐ์ ทั้งเถาวัลย์ หญ้าแฝก ผลงานมี
ให้เลือกมากมายหลายแบบ หรือจะตกแต่งนกบนกิ่งไม้ไว้
สำหรับเสียบแจกันก็ได้ เป็นต้น
ผลงานที่ตกแต่งด้วยนกประดิษฐ์ของกตภรณ์นั้นมีราคาขาย
ชิ้นละตั้งแต่ 35-60 บาท หรือบางชิ้นงานอาจจะมีราคาที่สูง
กว่านี้ ขึ้นอยู่กับแบบที่ทำว่ามีความละเอียดและยาก-ง่ายแค่
ไหน
“การประดิษฐ์นกจากสำลีนั้นเป็นงานที่ทำไม่ยาก ถ้ามีความ
สนใจและตั้งใจก็สามารถไปเรียนรู้ได้ เช่น ที่ศูนย์ฝึกอาชีพ
กรุงเทพมหานคร เขตบางกอกน้อย ที่วัดสุทธาวาส” กตภรณ์
กล่าว
ใครสนใจ “งานประดิษฐ์นกจากสำลี” ของกตภรณ์ ถ้าอยู่ใน
กรุงเทพฯ แวะไปดูได้ที่สีลมคอมเพล็กซ์ เจ้าตัวจะไปออกบูธ
ในวันที่ 26 มี.ค.–2 เม.ย. 2551 ในชื่อร้าน “MK Simmisa”
และ โทร.08-1641-9677 คือเบอร์โทรศัพท์ติดต่อกตภรณ์
อีกหนึ่งเจ้าของไอเดียทำกินที่น่าสนใจ !!.
| |
|
ตะลึง! พบปลานิลปนเปื้อนยีนปลาหมอเทศ หวั่นทำปลานิลแท้สูญพันธุ์
นักวิจัย มก. ลุยแหล่งน้ำธรรมชาติ เก็บตัวอย่างปลานิลมาศึกษา
พันธุกรรม พบปนเปื้อนยีนปลาหมอเทศอย่างรุนแรงในแหล่งน้ำ
บางแห่ง โดยเฉพาะบริเวณสามร้อยยอด จ.ประจวบฯ หวั่นปลานิล
แท้สูญพันธุ์ วอนช่วยกันอนุรักษ์และไม่เคลื่อนย้ายปลานิลข้ามถิ่น
เพื่อป้องกันปลานิลพันธุ์ทางเข้ายึดพื้นที่
"ปลานิล" ปลาน้ำจืดที่มีอยู่มากในแหล่งน้ำธรรมชาติและ
เป็นอาหารจานเด็ดคู่บ้านของคนไทยมานานหลายสิบปีจนแทบ
จะปฏิเสธไม่ได้ว่าปลานิลกลายเป็นปลาสัญชาติไทยไปแล้ว แต่ปัจจุบันสถานภาพของประชากรปลานิลเริ่มน่าเป็นห่วง เพราะ
นับวันปลานิลแท้ๆ ที่ยังมีพันธุกรรมดั้งเดิมของบรรพบุรุษยิ่งลด
น้อยลงทุกที ซึ่งจากรายงานการวิจัยของ น.ส.ศรีจรรยา สุขมโนมนต์ นักศึกษาโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) จากภาค
วิชาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พบว่าปลานิลในธรรมชาติบางแห่งมีการปนเปื้อนยีนของปลาหมอ
เทศอย่างรุนแรง
ศ.ดร.อุทัยรัตน์ ณ นคร ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาการวิจัยของ
น.ส.ศรีจรรยา เผยว่า ปลานิล หรือ ออรีโอโครมิส นิโลติคัส
(Oreochromis niloticus) ถูกนำเข้ามาในประเทศครั้งแรกเมื่อ
กว่า 40 ปีก่อน โดยก่อนและหลังที่ปลานิลจะเข้ามาในไทย ก็มี
การนำปลาในกลุ่มเดียวกันเข้ามาด้วย คือ ปลาหมอเทศ หรือ
ออรีโอโครมิส มอสแซมบิคัส (Oreochromis mossambicus)
และปลาออรีโอโครมิส ออเรียส (Oreochromis aureus) แต่
อย่างหลังไม่ค่อยแพร่หลายมากเท่าไหร
ปลาหมอเทศ (ภาพจาก น.ส.ศรีจรรยา สุขมโนมนต์)
"ปลาทั้ง 3 ชนิดนี้สามารถผสมพันธุ์กันได้ และลูกผสมที่เกิดมา
ก็ไม่เป็นหมันด้วย จึงทำให้เกิดการผสมปนเปและแพร่พันธุ์เป็น
จำนวนมาก ซึ่งปัญญานี้ก็พบมาแล้วในหลายประเทศ ขณะที่ใน
ไทยยังไม่ค่อยได้ศึกษากัน และในแต่ละปีก็มีการบริโภคปลานิล
กันมาก เฉพาะปลานิลที่จับจากแหล่งน้ำธรรมชาติก็ไม่ต่ำกว่า
40,000 ตันต่อปี ซึ่งเป็นจำนวนมหาศาลมาก" ศ.ดร.อุทัยรัตน์ เผยความสำคัญของปลานิลอันเป็นที่มาของการศึกษาพันธุกรรม
ปลานิลเพื่อหาทางอนุรักษ์พันธุ์ไว้ให้มีอยู่คู่แหล่งน้ำต่อไป
นักวิจัยศึกษาโดยเก็บตัวอย่างปลานิลจากแหล่งน้ำธรรมชาติ
ได้แก่ อ่างเก็บน้ำบางพระ จ.ชลบุรี, บึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์
และ สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยตัดครีบปลาเพียงเล็ก
น้อยมาตรวจสอบพันธุกรรม ใช้หลักพันธุศาสตร์ประชากรร่วม
กับเครื่องหมายพันธุกรรม และใช้ประชากรอ้างอิงเป็นปลาพันธุ์
แท้ในกลุ่มปลานิล ได้แก่ ปลานิลพันธุ์จิตรลดา, อูกันดา,
ไอวอรี่โคสต์ (Ivory Coast), กิฟต์ (GIFT), ปลาหมอเทศแท้
จากไอวอรี่โคสต์ และปลา Oreochromis aureus จากอียิปต์
"เมื่อตรวจสอบพันธุกรรมแล้วพบว่าปลานิลในประเทศไทย
ยังคงเกาะกลุ่มกันอยู่ โดยที่มีสายพันธุ์จิตรลดาเป็นบรรพบุรุษ
พันธุ์แท้สอดคล้องกับข้อมูลเดิม แต่ก็ยังพบว่าปลานิลจากแหล่ง
น้ำทั้ง 3 แห่ง มีพันธุกรรมแตกต่างกัน โดยพันธุกรรมของปลานิล
จากบึงบอระเพ็ดมีความใกล้ชิดกับสาย
พันธุ์จิตรลดามากที่สุด รองลงมาเป็นปลานิลจากบางพระ และ
ปลานิลจากสามร้อยยอดอยู่ห่างมากที่สุด" ศ.ดร.อุทัยรัตน์ เผย
ปลานิล (ภาพจาก น.ส.ศรีจรรยา สุขมโนมนต์)
เมื่อนักวิจัยศึกษาต่อก็พบหลักฐานบ่งชีว่าพันธุกรรมปลานิลใน
บางประชากรนั้นไม่บริสุทธิ์เสียแล้วเพราะพบมีบางยีนของปลา
หมอเทศปรากฏอยู่ร่วมด้วยในปลานิลจากสามร้อยยอดมากที่สุด
รองลงมาคือปลานิลจากบางพระ แต่ไม่พบในปลานิลบึงบอระเพ็ด ซึ่งยีนดังกล่าวที่พบปนเปื้อนนั้นเป็นยีนที่มีอยู่ในปลาเทศแท้จาก
ไอวอรีโคสต์ทุกตัวที่นำมาใช้อ้างอิง แต่ไม่ปรากฏอยู่ในปลา
นิลจิตรลดา, อูกันดา และปลานิลอื่นๆ
ศ.ดร.อุทัยรัตน์ บอกต่อว่า ผลของการปนเปื้อนยีนของปลา
หมอเทศในปลานิล จะทำให้อัตราการเจริญเติบโตของปลานิล
ลดลง สีสันกระดำกระด่าง ไม่น่ารับประทาน ที่สำคัญยังมีอัตรา
การรอดต่ำด้วย แต่เมื่อการปนเปื้อนเกิดขึ้นโดยธรรมชาติแล้ว
อาจแก้ไขอะไรไม่ได้แต่เรายังสามารถป้องกันและจำกัดการปน
เปื้อนให้อยู่ในระดับต่ำที่สุดได้โดยไม่นำปลานิลจากแหล่งที่ปน
เปื้อนไปปล่อยในแหล่งน้ำอื่น ไม่นำไปทำพ่อพันธุ์แม่พันธุ์หรือ
นำไปปรับปรุงพันธุ์ ก็จะสามารถควบคุมไม่ให้แพร่กระจายไปได้
ส่วนปลานิลพันธุ์แท้จิตรลดาของไทยนั้นเป็นสายพันธุ์แท้
ที่มีคุณภาพดีมาก และเป็นที่ยอมรับของนานาชาติยังพบว่า
มีความหลากหลายทางพันธุกรรมค่อนข้างเหมาะสม ซึ่งจะทำ
ให้สามารถปรับตัวให้อยู่รอดในธรรมชาติได้ และควรอนุรักษ์
สายพันธุ์ดั้งเดิมที่มีลักษณะดีเอาไว้ ส่วนในธรรมชาติ หากไม่
จับปลามากเกินไป และรักษาสิ่งแวดล้อมไม่ให้ทรุดโทรม แหล่ง
น้ำต่างๆ ก็น่าจะมีพันธุ์ปลานิลมากเพียงพอที่จะดำรงประชากร
อยู่อย่างยั่งยืนได้
ด้านผู้บริโภคหายห่วงได้ เพราะ ศ.ดร.อุทัยรัตน์ บอกว่า
ปลานิลที่ขายอยู่ทั่วไปตามท้องตลาดเป็นปลานิลเลี้ยง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพันธุ์จิตรลดาและกิฟต์ที่ทางราชการเผย
แพร่ให้เกษตรกรไปนานแล้ว เพราะเมื่อหลายสิบยี่สิบปีก่อน
จะมีปัญหาเรื่องพันธุ์ปลานิลที่ไม่น่ารับประทาน ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการปนเปื้อนยีนของปลาหมอเทศนั่นเอง
โดย ผู้จัดการออนไลน์
ส้มโอทับทิมสยาม ที่ลุ่มน้ำปากพนังวันนี้กำลังมีชื่อ
ข้อมูลจากสำนักงานเกษตรจังหวัดนครศรีธรรมราช ระบุไว้ว่า
ที่บ้านแสงวิมาน หมู่ที่ 13 ตำบลคลองน้อย อำเภอปากพนัง
จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นหมู่บ้านแรกของอำเภอปากพนัง
ที่มีการปลูกส้มโอเต็มพื้นที่ ภายหลังจากที่โครงการพัฒนาพื้น
ที่ลุ่มน้ำปากพนัง อันเนื่องมาจากพระราชดำริดำเนินการ โดย
นำพันธุ์มาจากอำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม สภาพพื้นที่ของบ้านแสงวิมานนั้นเป็นที่ราบลุ่มป่าชายเลนมี
น้ำขังเป็นส่วนใหญ่
บ้านแสงวิมานเป็นชื่อของสองตระกูล คือ ตระกูลของนายแสง
กับนางมาน ซึ่งเป็นบุคคลที่เข้ามาตั้งถิ่นฐาน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2481
หรือประมาณ 70 ปีที่แล้ว โดยมีเครือญาติ ประมาณ 20 ครัวเรือน
อพยพมาจากบ้านปากกลัด อำเภอพระประแดง จังหวัด
สมุทรปราการ และบางครอบครัวจากจังหวัดนนทบุรี มาอยู่ในช่วง
แรกมีอาชีพทำนา แต่รายได้ไม่เพียงพอ ประกอบกับภูมิรู้ในเรื่อง
ทำสวนมาก่อน จึงนำมาใช้ในพื้นที่แห่งนี้ เริ่มด้วยการ ขุดยกร่อง
เพื่อให้สามารถระบายน้ำได้ เช่นแถบสวนของเมืองนนทบุรี ช่วง
ยกร่องใหม่ ๆ ปลูกพืชล้มลุก และไม้ผลหลายชนิด แต่ไม่ประสบ
ผลสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากประสบปัญหาน้ำท่วมขังในฤดูมรสุม
และบางปีน้ำเค็มทะลักคันกั้นน้ำ เข้าไปท่วมขังร่องสวนพืชผล
ได้รับความเสียหาย
บ้านแสงวิมานเป็นชื่อของสองตระกูล คือ ตระกูลของนายแสง
กับนางมาน ซึ่งเป็นบุคคลที่เข้ามาตั้งถิ่นฐาน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2481
หรือประมาณ 70 ปีที่แล้ว โดยมีเครือญาติ ประมาณ 20 ครัวเรือน
อพยพมาจากบ้านปากกลัด อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ
และบางครอบครัวจากจังหวัดนนทบุรี มาอยู่ในช่วงแรกมีอาชีพ
ทำนา แต่รายได้ไม่เพียงพอ ประกอบกับภูมิรู้ในเรื่องทำสวนมา
ก่อน จึงนำมาใช้ในพื้นที่แห่งนี้ เริ่มด้วยการ ขุดยกร่อง เพื่อให้
สามารถระบายน้ำได้ เช่นแถบสวนของเมืองนนทบุรี ช่วงยกร่อง
ใหม่ ๆ ปลูกพืชล้มลุก และไม้ผลหลายชนิด แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ
เท่าที่ควร เนื่องจากประสบปัญหาน้ำท่วมขังในฤดูมรสุม และบาง
ปีน้ำเค็มทะลักคันกั้นน้ำ เข้าไปท่วมขังร่องสวนพืชผลได้รับความ
เสียหาย
ต่อมาในปี พ.ศ. 2510 ได้นำ กิ่งพันธุ์ส้มโอมาทดลองปลูก
ปรากฏว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เนื่องจากส้มโอเป็นพืชที่ทนต่อ
สภาพน้ำท่วมขัง น้ำกร่อย ประกอบ ดินมีสภาพเป็นดินเหนียว จึงทำให้ส้มโอมีรสชาติหวานเข้มไม่ขมแตกต่างจากส้มโอจาก
พื้นที่อื่น
เมื่อประสบความสำเร็จเกษตรกรรายอื่น ๆ ในอำเภอปากพนัง จึงนำมาปลูกบ้างจนเป็นผลให้ทั่วทั้งพื้นที่เต็มไปด้วยสวนส้ม
โอปลูกส้มโอ ที่มีรสชาติหวานเข้ม กุ้งมีสีแดงอมชมพู พันธุ์
ขาวพวง มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว
ต่อมาในปี พ.ศ.2523 นายหวัง มัสแหละ ได้นำ พันธุ์ส้มโอ
3 ต้นมาจาก บ้านบราโอ ตำบลประจัน อำเภอยะรัง จังหวัด
ปัตตานี เป็นส้มโอที่มีผลเหมือน พันธุ์ขาวพวง มีกุ้ง เนื้อสีชมพู
ค่อนข้างแดง เป็นพันธุ์พื้นเมือง ผลมีขนาดใหญ่ แต่มีรสขม
แต่เมื่อนำมาทดลองปลูกที่บ้านแสงวิมาน ผลปรากฏว่าออก
ลูกและมีรสชาติหวานขึ้น ผิวผลมีสีเขียวเข้ม และมีขนอ่อนนุ่ม
ปกคลุมทั่วผล คล้ายกำมะหยี่ จากนั้นได้มีการปรับปรุงคุณภาพ
สายพันธุ์แบบภูมิปัญญาท้องถิ่น ใช้เวลาหลายปี ในที่สุดก็ได้
ส้มโอพันธุ์เนื้อสีแดงเข้ม แบบ สีทับทิมรสชาติหวาน หอม นุ่ม
จึงมีการตั้งชื่อขึ้นมาใหม่ เป็น “พันธุ์ทับทิมสยาม”
ลักษณะประจำพันธุ์ ของส้มโอพันธ์นี้คือ ใบค่อนข้างกว้าง
ปลายใบแหลม ใต้ใบมีขนอ่อนนุ่ม ผลมีขนาดใหญ่ เส้นรอบ
ผลประมาณ 16-22 นิ้ว หัวจีบ ผิวผลมีขนอ่อนนุ่มคล้ายกำ
มะหยี่ปกคลุมทั่วทั้งผล เปลือกบางจากความอร่อยและต้อง
ปากของคนไทย จึงทำให้ส้มโอพันธุ์นี้เป็นที่ต้องการของตลาด
อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันราคาขายที่หน้าสวนจะอยู่ที่ ผลละ 50
บาท ราคาร้านค้าริมทางหลวง ผลละ 80-100 บาท ทุกวันนี้
ที่อำเภอปากพนัง มีเกษตรกรปลูกส้มโอพันธุ์ทับทิมสยามกว่า
67.5 ไร่ จำนวน 40 ราย ในพื้นที่ 3 ตำบล ประกอบด้วย คลอง
น้อย เกาะทวด และ ปากพนังฝั่งตะวันตก โดยมีส้มโอที่ให้ผล
แล้ว 30 ไร่ ยังไม่ให้ผลผลิต 37.5 ไร่ ซึ่งผลผลิตที่ได้เฉลี่ยที่
40 ต้น ต่อ 1 ไร่
อันนับเป็นอีกหนึ่งในความภาคภูมิใจของเกษตรกรชาวปากพนัง และที่สำคัญเนื่องจากระบบการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่แบบภาค
รวมที่ดีได้เข้ามามีผลให้พื้นที่มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นจนเกษตรกร
สามารถประสบความสำเร็จในการเพาะปลูกที่เป็นผลมาจากการ
บริหารจัดการน้ำในโครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนังอันเนื่อง
มาจากพระราชดำริ นั่นเอง
มหาวิทยาลัยเกษตรศึกษาวิจัย เสาวรสพันธุ์รับประทานผลสดสำเร็จ
สาวรสพันธุ์รับประทานสดเป็นผลไม้ส่งเสริมของมูลนิธิโครงการ
หลวงที่ได้รับความนิยมมากอีกชนิดหนึ่งและมีปริมาณความต้อง
การของตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมากทุกปี ในแง่ของเสาวรสเป็นผลไม้
เพื่อสุขภาพ เสาวรสสดมีปริมาณเบต้า แคโรทีน วิตามินซีและวิตามิน
อีสูง เสาวรสที่มีรสเปรี้ยวจะปลูกส่งโรงงานเพื่อนำไปบริโภคโดยตรง ปัจจุบันเสาวรสเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคมากเนื่องจากมีรสชาติดี
ประกอบกับให้คุณค่าทางอาหารสูง โดยมีวิตามินซี 20 มิลลิกรัมต่อ
เนื้อ 100 กรัม
ผศ.ดร.สิริภัทร์ พราหมณีย์ อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์และ
วิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์วิทยาเขตกำแพงแสนและ
คณะ ได้ทำการศึกษาวิจัยเสาวรสขึ้นและประสบความสำเร็จสามารถ
นำมาขยายผล เพื่อการเพาะปลูกของเกษตรกรของประเทศไทยได้
แล้วในตอนนี้
และจากรายงานการศึกษาวิจัยในเรื่องดังกล่าวได้ระบุว่า เสาวรส
สามารถปลูกได้ในพื้นที่ราบและพื้นที่สูง แต่พื้นที่ปลูกควรมีแสงแดด
ส่องทั่วถึง เสาวรสให้ผลผลิตได้ตลอดปีถ้าไม่ขาดน้ำ การปลูกมี 2 แบบ
คือ การปลูกแบบอาศัยน้ำฝนและการปลูกแบบให้น้ำ เสาวรสพันธุ์
รับประทานสดควรปลูกในพื้นที่ให้น้ำได้ การปลูกแบบอาศัยน้ำฝน
จะให้ผลผลิตในเดือนสิงหาคมถึงเดือน
กุมภาพันธ์ ดังนั้นต้องวางแผนการปลูกก่อนเดือนสิงหาคมอย่างน้อย
7 เดือน ส่วนการปลูกแบบให้น้ำสามารถทำ ได้ทุกช่วงเวลา แต่ควรคำนึงถึงความสะดวกในการปฏิบัติดูแลรักษา เช่น ถ้าปลูกในช่วงฤดูฝนจะประหยัดในเรื่องการใช้น้ำแต่จะมีการกำจัด
วัชพืชมากขึ้น ถ้าปลูกในช่วงฤดูร้อนจะพบปัญหาการให้น้ำ แต่การ
กำจัดวัชพืชจะน้อยลง
ประเทศไทยเริ่มปลูกเสาวรสครั้งแรกในปี พ.ศ. 2498 โดย เป็น
พันธุ์สีม่วงมีรสชาติค่อนข้างเปรี้ยว สำหรับมูลนิธิโครงการหลวง
มีการปลูกเสาวรสอยู่ 2 ชนิด คือ เสาวรสโรงงานได้ส่งเสริมปลูก
มานานแล้ว และเสาวรสสำหรับรับประทานสด ซึ่งคัดเลือกพันธุ์
ได้ในปี พ.ศ. 2539 และส่งเสริม ให้เกษตรกรปลูกในปี พ.ศ. 2540 เสาวรสที่ส่งเสริมปลูกในพื้นที่มูลนิธิโครงการหลวงแบ่งได้ 2
ประเภท คือ
1. เสาวรสพันธุ์สำหรับส่งโรงงาน เป็นพันธุ์ที่มีรสชาติเปรี้ยว ส่วนใหญ่ปลูกเพื่อส่งโรงงานเพื่อนำไปแปรรูปน้ำผลไม้ซึ่งมี
อยู่ 2 ชนิด คือเสาวรสโรงงานชนิดสีม่วง เสาวรสชนิดนี้ผิวผล
สีม่วง ผลมีลักษณะกลมหรือรูปไข่ ดอกสามารถผสมตัวเอง
ได้ดี ดอกบานในตอนเช้า ผลสุกมีรสเปรี้ยวและมีกลิ่นหอม
มากกว่าพันธุ์สีเหลือง เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4-5 เซนติเมตร
น้ำหนัก 50-60 กรัมต่อผล
และเสาวรสโรงงานชนิดผลสีเหลือง เสาวรสชนิดนี้ผิวผลสี
เหลือง ดอกจะบานในตอนเที่ยง ส่วนใหญ่ผสมตัวเองไม่ติด
ต้องผสมข้ามต้น ทนต่อโรคต้นเน่า เถาเหี่ยว โรคไวรัส และ
ทนต่อไส้เดือนฝอย นิยมใช้เป็นต้นตอในการเสียบกิ่งพันธุ์
ของผลสีม่วงเส้นผ่าศูนย์กลางของผลประมาณ 6 เซนติเมตร
น้ำหนักผล 80-120 กรัมต่อผล มีรสเปรี้ยวมาก เนื่องจากเนื้อ
ในมีความเป็นกรดสูงกว่าพันธุ์สีม่วง
2. เสาวรสพันธุ์รับประทานสด เป็นพันธุ์ที่มีรสชาติดี รสหวาน
กว่าพันธุ์ที่ส่งโรงงาน มีอยู่ 2 พันธุ์ คือ พันธุ์รับประทานสดเบอร์ 1
ลักษณะผลเป็นรูปไข่สีม่วงอมแดง ผลที่ผ่าตามขวางมีลักษณะ
มี 3 พู เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5 เซนติเมตร น้ำหนัก 70-80
กรัมต่อผล รสชาติหวานอมเปรี้ยว มีกลิ่นหอม เปอร์เซ็นต์ความ
หวานเฉลี่ยประมาณ 16 Brix
และพันธุ์รับประทานสดเบอร์ 2 ลักษณะคล้ายพันธุ์เบอร์ 1 แต่ผลจะสีเข้มและเปลือกมีความหนากว่าพันธุ์เบอร์ 1 จึงเก็บ
รักษาไว้ได้นาน เส้นผ่าศูนย์กลางของผลประมาณ 5-6
เซนติเมตร น้ำหนัก 70-100 กรัมต่อผล เปอร์เซ็นต์ความหวาน
เฉลี่ยประมาณ 17-18 Brix
เสาวรสจะให้ผลผลิตดีในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ แต่สามารถให้น้ำได้จะสามารถให้ผลผลิตได้ตลอดปี ผลเสาวรส
จะเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 50-70 วันหลังดอกบาน
นับว่าเป็นความสำเร็จอีกชิ้นหนึ่งของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในการทำการศึกษาวิจัยพืชเพื่อการต่อยอดและขยายผลให้กับ
เกษตรกรนำไปเพาะปลูกเชิงพาณิชย์ต่อไปได้.
พลับผลไม้แห่งสุขภาพ
นายวรวิทย์ ยี่สวัสดิ์ นักวิจัย 8 ว. สถานีวิจัยดอยปุย
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผู้ทำวิจัยเรื่อง พลับ จากฝาดให้หวาน
บอกว่า พลับ (Diospyros kaki L.) เป็นไม้ผลกึ่งร้อน มีการปลูกมา
นานแล้วในประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย จากการ
สอบถาม ทราบว่านำมาปลูกครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2471 พันธุ์ที่ปลูกทั้งหมดนำมาจากประเทศจีนในรูปของหน่อมีอยู่ 5-6
สายพันธุ์เป็นพลับฝาดทั้งหมด สายพันธุ์เหล่านี้ เป็นสายพันธุ์ที่
ให้ผลแล้ว สามารถรับประทานได้ ส่วนพืชอื่นที่อยู่ในสกุลเดียว
กันนี้ (Diospyros) มีอยู่มากมายซึ่งเป็นพืชท้องถิ่นของไทยเรา
มีอยู่มากกว่า 40 ชนิด เช่น มะพลับ รีบู ตับเต่า กล้วยเมี่ยง จันเขา
กล้วยฤาษี ตะโก มะเกลือ ฯลฯ การใช้ประโยชน์ก็แตกต่างกันไป
บางชนิดรับประทานไม่ได้ บางชนิดก็รับประทานได้แต่ไม่นิยม
รับประทานกัน พลับที่นำเข้ามาปลูกในตอนแรกนี้ได้กระจายไป
ปลูกตามแหล่งต่าง ๆ ของประเทศไทย แต่ก็ไม่แพร่หลายนัก
เนื่องจากมีข้อจำกัดของการขยายพันธุ์ เนื่องจากสมัยก่อน
การขยายพันธุ์ค่อนข้างยาก ต้องอาศัยการชำราก หรือต้นที่
เกิดจากแผลที่ราก (เกิดแผลที่รากแล้วจะเกิดต้นอ่อนบริเวณ
แผลขึ้นมาได้) และรสชาติที่ฝาดของผลพลับเอง
ต่อมาในปี พ.ศ.2512 มีการนำพลับพันธุ์ต่าง ๆ จากต่างประเทศเข้ามาปลูกทดสอบโดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ที่สถานีวิจัยดอยปุย จังหวัดเชียงใหม่ พบว่าพลับบางพันธุ์
สามารถที่จะเจริญเติบโตและให้ผลผลิตได้ดี ในสภาพพื้น
ที่สูงของประเทศไทย และได้ส่งเสริมปลูกเป็นการค้าอยู่ใน
ปัจจุบัน พลับเป็นไม้ผลที่มีลักษณะที่เหมาะสมสำหรับพื้นที่
สูงคือสามารถเจริญเติบโตและให้ผลผลิตได้ดีในสภาพ
ภูมิอากาศหนาวเย็นของพื้นที่สูงเป็นไม้ยืนต้นที่มีอายุยืน
ยาวจึงมีประโยชน์ในด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในสภาพ
พื้นที่สูงเป็นพืชทนแล้งและให้ผลผลิตในฤดูฝน จึงประหยัด
ทรัพยากรน้ำเป็นพืชที่ใช้สารเคมีน้อยไม่ค่อยมีศัตรูรบกวน
เป็นพืชที่ดูแลรักษาง่ายเหมาะสำหรับพื้นที่สูงซึ่งเหมาะกับ
เกษตรกรชาวไทยภูเขา
พลับสามารถปลูกได้ดีในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่
700 เมตรขึ้นไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพันธุ์ พลับฝาดสามารถปลูก
ได้ตั้งแต่ 700 เมตรขึ้นไป แต่ถ้าเป็นพลับหวาน พื้นที่ปลูก
จะต้องมีความหนาวเย็นอย่างเพียงพอโดยพื้นที่
จะต้องมีความสูงตั้งแต่ 1,000 เมตรขึ้นไป จึงจะสามารถ
ออกดอกติดผลได้ดี ในพื้นที่แห้งแล้งก็สามารถปลูกพลับได้
แต่ต้องมีเส้นทางคมนาคมขนส่งดีพอสมควร เนื่องจากฤดู
การเก็บเกี่ยวพลับตรงกับช่วงฤดูฝน และควรเป็นพื้นที่ที่แสง
แดดดีเพราะจะทำให้ผลมีสีสวย คุณภาพดี
พลับมีพันธุ์มากมาย ซึ่งจะมีลักษณะแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะ
เป็นเรื่องของขนาด รูปทรง รสชาติและสีผิวของผลตลอดจน
การใช้ประโยชน์ โดยในทางพืชสวนได้แบ่งพลับออกเป็น 2
ชนิด คือ พลับฝาด (Astringent) เนื้อผลจะมีรสชาติฝาด
ขณะที่ เนื้อผลแข็งกรอบ และพลับหวาน (Non-astringent) เนื้อผลจะมีรสชาติหวานขณะที่เนื้อผลแข็งกรอบแต่ถ้ารอจน
ผลสุกแดงนิ่มแล้ว ก็สามารถรับประทานสดได้โดยไม่ฝาดทั้ง
พลับฝาดและพลับหวาน ดอกพลับสามารถพัฒนาเป็นผลได้
โดยไม่ต้องได้รับการผสมเกสร (Parthenocarpic fruit)
ปัจจุบันการพัฒนาในด้านพันธุ์พลับได้ทำการปลูกทดสอบ
พลับพันธุ์ต่าง ๆ ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศทำให้ประเทศไทย
สามารถปลูกพลับพันธุ์ที่เป็นมาตรฐานของโลกได้อีกหลายพันธุ์
เช่น พลับหวานพันธุ์ Jiro พลับฝาดพันธุ์ Tone Wase และ
Hiratanenashi และกำลังขยายพันธุ์ออกสู่งานส่งเสริม นอก
จากนี้ ยังมีพลับที่ทำการปลูกทดสอบอยู่ คาดว่าจะสามารถส่ง
เสริมปลูกได้ในอนาคตอีก คือพันธุ์ Oku Gosho ซึ่งเป็นพลับ
หวาน ที่มีขนาดผลใหญ่ ดังนั้นพลับจึงเป็นพืชที่จะมีความ
สำคัญมากในอนาคตค่อนข้างแน่นอน.
สาคู ประโยชน์มากหลาย
สาคูเป็นพืชที่มีอายุอยู่ได้หลายฤดูฝน ลักษณะใบคล้ายใบคล้า
ต้นคล้ายต้นขิง สูง 60-180 ซม. ขึ้นอยู่เป็นกอ หัวเล็กยาว
แผ่กว้างลึก อีกชนิดหนึ่งต้นและใบคล้ายพุทธรักษา หัวสั้น
ใหญ่ มีหัวน้อยอยู่ไม่ลึกอยู่ในตระกูลแมรันเตซี (Marantaceae)
เป็นพืชเนื้ออ่อนมีอายุอยู่ได้ปลายฤดู มีหัวซึ่งเกิดจากลำต้นใต้
ดินโดยหัวขยายตัวอยู่ใต้ระดับดิน หัวใหญ่ กลม ยาว ขนาดของ
หัว 2.5 ซม. ยาว 20-45 ซม. ใบเป็นชนิด แลนซิโอเลต
(lanceolate) เหมือนใบคล้า ดอกสีขาว เป็นช่อแฝด เมล็ด
สีแดงแต่ไม่ค่อยติดเมล็ด
แหล่งที่ปลูกสาคูมาก ได้แก่ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ของประเทศไทย เช่น จังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น เป็นต้น
เมื่อแบ่งตามลักษณะของหัวจะมีอยู่ 2 ชนิด ชนิดหัวเล็กยาว
แผ่กว้างและหยั่งลงในดินลึกเรียวเครโอล (creole) ชนิด
หัวสั้นใหญ่ หัวไม่มาก หัวอยู่ไม่ลึก เรียกแบนานา (banana)
ความจริงแล้วพืชที่มีชื่อภาษาอังกฤษว่า แอร์โรว์รูต ที่จัด
เป็นพืชหัวยังมีอีก 2 ชนิด ชนิดแรกได้แก่ ควีนส์แลนด์
แอร์โรว์รูต (Queensland arrowroot) และมีชื่ออื่นอีก คือ
ออสเตรเลียน แอร์โรว์รูต (Australian arrowroot) เอดิเบิล
แคนนา (edible canna) เพอร์เพิล แอร์โรว์รูต (purple
arrowroot) ไทยเราเรียกว่า “สาคูจีน” มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า
แคนนา เอดูลิส (Canna edulis) เคอร์-กัล (Ker-Gawl)
อยู่ในตระกูล แคนนาซีน (Cannacean) เป็นพืชพวกเดียว
กับพุทธรักษา มีลักษณะต้น ใบเหมือนพุทธรักษา แต่ดอก
เล็กกว่า หัวคล้ายหัวข่า รับประทานได้เหมือนสาคูธรรมดา
ที่กล่าวข้างต้น
นอกจากสาคูที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ยังมีสาคูอีกชนิดหนึ่งได้แก่
อีสต์ อินเดียน แอร์โรว์ รูต (East Indian arrowroot) มีชื่ออื่น
อีก เช่น โพลิเนเชียน แอร์โรว์รูต (Polynesian arrowroot)
ทัคคา (tacca) ฯลฯ ไทยเรียกว่า “สาคูจีน” มี ชื่อวิทยาศาสตร์
ว่า ทัคคา เลออนโทเพทาลอยด์ แอล คุนทซ์ 9 Tacca
leontopetaloides (L) Kuntze) อยู่ในตระกูลทัค คาซี (Taccaceae)
สาคูขึ้นได้ในที่ที่มีฝน 1,500-2,000 มม. จึงควรปลูก ในเวลาที่มี
น้ำหรือสามารถให้น้ำ ได้เพียงพอตลอดอายุการเจริญเติบโต สาคู
ชอบอากาศร้อนและชื้น ฤดูปลูกที่เหมาะสม ได้แก่ ฤดูฝน การปลูก
และการเตรียมที่ สาคูชอบที่ที่มีการระบายน้ำดี ดินเป็นกรดน้อย ๆ
ร่วนและลึก สามารถขึ้นได้ดีตั้งแต่ระดับน้ำทะเล จนถึงความสูง
ประมาณ 900 เมตร เตรียมดินโดยไถและพรวนดินให้ร่วนขุดหลุม
ลึก 10-15 ซม. ระยะหลุมห่างกัน 35-40 ซม. ปลูกเป็นแถวระยะ
ระหว่างแถวประมาณ 75 ซม. โดยทั่วไปปลูกจากหัว โดยตัดเป็น
ท่อนสั้น ๆ ยาวประมาณ 5 ซม. บางทีก็รมควันหัวเสียก่อนเพื่อให้
งอกเร็วขึ้น บางครั้งก็ปลูกด้วยหน่อ บางรายขุดเก็บหัวสาคูจากต้น
แก่เท่านั้น ทิ้งต้นอ่อนที่เกิดจากหน่อให้เติบโตต่อไป ไม่ต้องปลูก
ใหม่ เริ่มปลูกเมื่อต้นฤดูฝน วางหัวที่เตรียมไว้ในหลุม ความลึกของ
หลุมประมาณ 10-15 ซม. กลบด้วยดิน ถ้าใช้ระยะปลูก 75-80 ซม. หัวที่ใช้เป็นพันธุ์ปลูกจะต้องมีน้ำหนักประมาณ 480-560 กก./ไร่
สาคูมีอายุประมาณ 10-11 เดือน สังเกตได้โดยใบเริ่มเหี่ยวตาย
จึงเก็บโดยขุดและเก็บด้วยมือ ตัดแยกหัวออกจากต้นและใบ
ผลผลิตของหัวสาคูมีประมาณ 2,000 กก./ไร่ เมื่อขุดขึ้นจาก
ดินแล้ว จะเก็บหัวไว้ได้ไม่นาน จะต้องใช้ภายใน 2-7 วัน แป้ง
สาคูนับเป็นคาร์โบไฮเดรตที่บริสุทธิ์ ที่สุดในบรรดาคาร์โบไฮเดรต
ที่ได้จากธรรมชาติและ มีความเหนียวสูงสุด การวิเคราะห์หัว
สาคูประเภท “เครโอล” ประกอบด้วยความชื้นร้อยละ 69.1 เถ้า
ร้อยละ 1.4 ไขมันร้อยละ 0.1 เส้นใยร้อยละ 1.3 โปรตีนร้อยละ
1.0 แป้งร้อยละ 21.7 สำหรับหัวสาคูประเภท “แบนานา”
ประกอบด้วยความชื้นร้อยละ 72.0 เถ้าร้อยละ 1.3 ไขมันร้อย
ละ 0.1 เส้นใยร้อยละ 0.6 โปรตีนร้อยละ 2.2 แป้งร้อยละ 19.4
แป้งสาคูประกอบด้วยเม็ดยาวรี ยาวประมาณ 15-70 ไมครอน
พวก แบนานา มีเม็ดแป้งใหญ่กว่าพวกเครโอล เล็กน้อย
ส่วนใหญ่ใช้หัวทำแป้ง ซึ่งเป็นแป้งที่ย่อยง่ายมาก ส่งออก
สู่ตลาดเป็นแป้งผง สีขาว เรียก “แป้งสาคู” นิยมใช้เป็นอาหาร
ทารก และทำอาหารอย่างอื่น เช่น ขนมปัง ขนมต่าง ๆ แพทย์
ให้คนป่วยด้วยโรค ลำไส้รับประทานแป้งสาคู นอกจากนี้เรา
ใช้แป้งสาคูทำ “ผงแบเรียม” (barium meals) และใช้ใน
อุตสาหกรรมยา ทำแป้งผัดหน้า ทำกาวและทำกระดาษที่ใช้
กับคอม พิวเตอร์ หัวสาคูใช้เป็นอาหาร โดยต้มหรือเผาเสีย
ก่อน หัวสดนำมาโม่จะได้แป้งสาคูใช้ทำขนมได้ดี
ใบและต้นสาคูใช้ในการบรรจุหีบห่อได้ กากที่เหลือจากการ
ทำแป้งแล้วใช้เป็นอาหารสัตว์และทำปุ๋ย คนไทยต้มหรือนึ่ง
สาคูรับประทานเป็นของหวาน แต่ปริมาณสาคูที่ใช้เป็นของ
หวานมีไม่มากนัก.
บทที่ 14 การแบ่งสายงานโดยจำแนกตามเงื่อนไขแบบ if-else
ในบางครั้งมีความจำเป็นต้องจำแนกเงื่อนไขในการทำงาน
โดยแต่ละเงื่อนไขจะกำหนดกรณี เพื่อทำคำสั่งหรือกลุ่ม
ของคำสั่ง ซึ่งอาจจะแตกต่างจากคำสั่งในกรณีอื่น ในภาษา
PHP จะใช้ โครงสร้าง if หรือ if-else ในการจำแนกกรณี
ตามเงื่อนไข
จากตัวอย่าง ถ้า $x มีค่าเป็นศูนย์ตามเงื่อนไข ก็จะทำ
คำสั่ง echo $x," is zero
\n"; ถ้าเงื่อนไขแรกเป็น
เท็จ ก็จะเงื่อนไขที่สองว่า $x มีค่ามากกว่าศูนย์หรือไม่
ถ้าใช้ ก็ทำคำสั่ง echo $x," is positive
\n"; ถ้า
เงื่อนที่สองเป็นเท็จอีก ก็ให้ทำคำสั่งในกรณีสุดท้าย
คือ $x จะต้องมีค่าเป็นลบ
ถ้าในแต่ละกรณีต้องมีการทำคำสั่งมากกว่าหนึ่ง คือ
เป็นกลุ่มคำสั่ง จะต้องใช้ { } มากำหนดขอบเขต
(scope) เช่น
โปรดสังเกตว่า { } ไม่ต้องมีเครื่องหมาย ; ต่อท้าย
ในภาษา PHP มีการกำหนด elseif (เงื่อนไข) ขึ้นมา
ใช้ ซึ่งไม่มีอะไรแตกต่างจาก else if (เงื่อนไข)
โครงสร้างแบบ (เงื่อนไข) ? นิพจน์ : นิพจน์ แบบที่ใช้กัน
ในภาษาซีนั้น ก็ใช้ได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น
จาก ชมรมเว็บเพจไทย
บทที่ 10 การกำหนดค่าของตัวแปรที่เป็นตัวเลขหรือสตริงค์โดยใช้ assignment operators
การกำหนดค่า (assignment ) หรือเปลี่ยนแปลงค่าให้แก่
ตัวแปร จะใช้โอเปอร์เรเตอร์ (assignment operators)
ได้ในหลายๆรูปแบบ เหมือนอย่างที่ใช้ในภาษาซี ตามตัว
อย่างต่อไปนี้
จากตัวอย่างข้างบน ในกรณีของการต่อสตริงค์ เราจะใช้
จุด (.) เป็นโอเปอร์เรเตอร์
จาก ชมรมเว็บเพจไทย