May 22, 2008

สาคู ประโยชน์มากหลาย





สาคูเป็นพืชที่มีอายุอยู่ได้หลายฤดูฝน ลักษณะใบคล้ายใบคล้า
ต้นคล้ายต้นขิง สูง 60-180 ซม. ขึ้นอยู่เป็นกอ หัวเล็กยาว
แผ่กว้างลึก อีกชนิดหนึ่งต้นและใบคล้ายพุทธรักษา หัวสั้น
ใหญ่ มีหัวน้อยอยู่ไม่ลึกอยู่ในตระกูลแมรันเตซี (Marantaceae)
เป็นพืชเนื้ออ่อนมีอายุอยู่ได้ปลายฤดู มีหัวซึ่งเกิดจากลำต้นใต้
ดินโดยหัวขยายตัวอยู่ใต้ระดับดิน หัวใหญ่ กลม ยาว ขนาดของ
หัว 2.5 ซม. ยาว 20-45 ซม. ใบเป็นชนิด แลนซิโอเลต
(lanceolate) เหมือนใบคล้า ดอกสีขาว เป็นช่อแฝด เมล็ด
สีแดงแต่ไม่ค่อยติดเมล็ด




แหล่งที่ปลูกสาคูมาก ได้แก่ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ของประเทศไทย เช่น จังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น เป็นต้น
เมื่อแบ่งตามลักษณะของหัวจะมีอยู่ 2 ชนิด ชนิดหัวเล็กยาว
แผ่กว้างและหยั่งลงในดินลึกเรียวเครโอล (creole) ชนิด
หัวสั้นใหญ่ หัวไม่มาก หัวอยู่ไม่ลึก เรียกแบนานา (banana)
ความจริงแล้วพืชที่มีชื่อภาษาอังกฤษว่า แอร์โรว์รูต ที่จัด
เป็นพืชหัวยังมีอีก 2 ชนิด ชนิดแรกได้แก่ ควีนส์แลนด์
แอร์โรว์รูต (Queensland arrowroot) และมีชื่ออื่นอีก คือ
ออสเตรเลียน แอร์โรว์รูต (Australian arrowroot) เอดิเบิล
แคนนา (edible canna) เพอร์เพิล แอร์โรว์รูต (purple
arrowroot) ไทยเราเรียกว่า “สาคูจีน” มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า
แคนนา เอดูลิส (Canna edulis) เคอร์-กัล (Ker-Gawl)
อยู่ในตระกูล แคนนาซีน (Cannacean) เป็นพืชพวกเดียว
กับพุทธรักษา มีลักษณะต้น ใบเหมือนพุทธรักษา แต่ดอก
เล็กกว่า หัวคล้ายหัวข่า รับประทานได้เหมือนสาคูธรรมดา
ที่กล่าวข้างต้น




นอกจากสาคูที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ยังมีสาคูอีกชนิดหนึ่งได้แก่
อีสต์ อินเดียน แอร์โรว์ รูต (East Indian arrowroot) มีชื่ออื่น
อีก เช่น โพลิเนเชียน แอร์โรว์รูต (Polynesian arrowroot)
ทัคคา (tacca) ฯลฯ ไทยเรียกว่า “สาคูจีน” มี ชื่อวิทยาศาสตร์
ว่า ทัคคา เลออนโทเพทาลอยด์ แอล คุนทซ์ 9 Tacca
leontopetaloides (L) Kuntze) อยู่ในตระกูลทัค คาซี (Taccaceae)




สาคูขึ้นได้ในที่ที่มีฝน 1,500-2,000 มม. จึงควรปลูก ในเวลาที่มี
น้ำหรือสามารถให้น้ำ ได้เพียงพอตลอดอายุการเจริญเติบโต สาคู
ชอบอากาศร้อนและชื้น ฤดูปลูกที่เหมาะสม ได้แก่ ฤดูฝน การปลูก
และการเตรียมที่ สาคูชอบที่ที่มีการระบายน้ำดี ดินเป็นกรดน้อย ๆ
ร่วนและลึก สามารถขึ้นได้ดีตั้งแต่ระดับน้ำทะเล จนถึงความสูง
ประมาณ 900 เมตร เตรียมดินโดยไถและพรวนดินให้ร่วนขุดหลุม
ลึก 10-15 ซม. ระยะหลุมห่างกัน 35-40 ซม. ปลูกเป็นแถวระยะ
ระหว่างแถวประมาณ 75 ซม. โดยทั่วไปปลูกจากหัว โดยตัดเป็น
ท่อนสั้น ๆ ยาวประมาณ 5 ซม. บางทีก็รมควันหัวเสียก่อนเพื่อให้
งอกเร็วขึ้น บางครั้งก็ปลูกด้วยหน่อ บางรายขุดเก็บหัวสาคูจากต้น
แก่เท่านั้น ทิ้งต้นอ่อนที่เกิดจากหน่อให้เติบโตต่อไป ไม่ต้องปลูก
ใหม่ เริ่มปลูกเมื่อต้นฤดูฝน วางหัวที่เตรียมไว้ในหลุม ความลึกของ
หลุมประมาณ 10-15 ซม. กลบด้วยดิน ถ้าใช้ระยะปลูก 75-80 ซม. หัวที่ใช้เป็นพันธุ์ปลูกจะต้องมีน้ำหนักประมาณ 480-560 กก./ไร่

สาคูมีอายุประมาณ 10-11 เดือน สังเกตได้โดยใบเริ่มเหี่ยวตาย
จึงเก็บโดยขุดและเก็บด้วยมือ ตัดแยกหัวออกจากต้นและใบ
ผลผลิตของหัวสาคูมีประมาณ 2,000 กก./ไร่ เมื่อขุดขึ้นจาก
ดินแล้ว จะเก็บหัวไว้ได้ไม่นาน จะต้องใช้ภายใน 2-7 วัน แป้ง
สาคูนับเป็นคาร์โบไฮเดรตที่บริสุทธิ์ ที่สุดในบรรดาคาร์โบไฮเดรต
ที่ได้จากธรรมชาติและ มีความเหนียวสูงสุด การวิเคราะห์หัว
สาคูประเภท “เครโอล” ประกอบด้วยความชื้นร้อยละ 69.1 เถ้า
ร้อยละ 1.4 ไขมันร้อยละ 0.1 เส้นใยร้อยละ 1.3 โปรตีนร้อยละ
1.0 แป้งร้อยละ 21.7 สำหรับหัวสาคูประเภท “แบนานา”
ประกอบด้วยความชื้นร้อยละ 72.0 เถ้าร้อยละ 1.3 ไขมันร้อย
ละ 0.1 เส้นใยร้อยละ 0.6 โปรตีนร้อยละ 2.2 แป้งร้อยละ 19.4
แป้งสาคูประกอบด้วยเม็ดยาวรี ยาวประมาณ 15-70 ไมครอน




พวก แบนานา มีเม็ดแป้งใหญ่กว่าพวกเครโอล เล็กน้อย
ส่วนใหญ่ใช้หัวทำแป้ง ซึ่งเป็นแป้งที่ย่อยง่ายมาก ส่งออก
สู่ตลาดเป็นแป้งผง สีขาว เรียก “แป้งสาคู” นิยมใช้เป็นอาหาร
ทารก และทำอาหารอย่างอื่น เช่น ขนมปัง ขนมต่าง ๆ แพทย์
ให้คนป่วยด้วยโรค ลำไส้รับประทานแป้งสาคู นอกจากนี้เรา
ใช้แป้งสาคูทำ “ผงแบเรียม” (barium meals) และใช้ใน
อุตสาหกรรมยา ทำแป้งผัดหน้า ทำกาวและทำกระดาษที่ใช้
กับคอม พิวเตอร์ หัวสาคูใช้เป็นอาหาร โดยต้มหรือเผาเสีย
ก่อน หัวสดนำมาโม่จะได้แป้งสาคูใช้ทำขนมได้ดี

ใบและต้นสาคูใช้ในการบรรจุหีบห่อได้ กากที่เหลือจากการ
ทำแป้งแล้วใช้เป็นอาหารสัตว์และทำปุ๋ย คนไทยต้มหรือนึ่ง
สาคูรับประทานเป็นของหวาน แต่ปริมาณสาคูที่ใช้เป็นของ
หวานมีไม่มากนัก.


No comments: