May 22, 2008

มหาวิทยาลัยเกษตรศึกษาวิจัย เสาวรสพันธุ์รับประทานผลสดสำเร็จ





สาวรสพันธุ์รับประทานสดเป็นผลไม้ส่งเสริมของมูลนิธิโครงการ
หลวงที่ได้รับความนิยมมากอีกชนิดหนึ่งและมีปริมาณความต้อง
การของตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมากทุกปี ในแง่ของเสาวรสเป็นผลไม้
เพื่อสุขภาพ เสาวรสสดมีปริมาณเบต้า แคโรทีน วิตามินซีและวิตามิน
อีสูง เสาวรสที่มีรสเปรี้ยวจะปลูกส่งโรงงานเพื่อนำไปบริโภคโดยตรง ปัจจุบันเสาวรสเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคมากเนื่องจากมีรสชาติดี
ประกอบกับให้คุณค่าทางอาหารสูง โดยมีวิตามินซี 20 มิลลิกรัมต่อ
เนื้อ 100 กรัม

ผศ.ดร.สิริภัทร์ พราหมณีย์ อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์และ
วิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์วิทยาเขตกำแพงแสนและ
คณะ ได้ทำการศึกษาวิจัยเสาวรสขึ้นและประสบความสำเร็จสามารถ
นำมาขยายผล เพื่อการเพาะปลูกของเกษตรกรของประเทศไทยได้
แล้วในตอนนี้

และจากรายงานการศึกษาวิจัยในเรื่องดังกล่าวได้ระบุว่า เสาวรส
สามารถปลูกได้ในพื้นที่ราบและพื้นที่สูง แต่พื้นที่ปลูกควรมีแสงแดด
ส่องทั่วถึง เสาวรสให้ผลผลิตได้ตลอดปีถ้าไม่ขาดน้ำ การปลูกมี 2 แบบ
คือ การปลูกแบบอาศัยน้ำฝนและการปลูกแบบให้น้ำ เสาวรสพันธุ์
รับประทานสดควรปลูกในพื้นที่ให้น้ำได้ การปลูกแบบอาศัยน้ำฝน
จะให้ผลผลิตในเดือนสิงหาคมถึงเดือน
กุมภาพันธ์ ดังนั้นต้องวางแผนการปลูกก่อนเดือนสิงหาคมอย่างน้อย
7 เดือน ส่วนการปลูกแบบให้น้ำสามารถทำ ได้ทุกช่วงเวลา แต่ควรคำนึงถึงความสะดวกในการปฏิบัติดูแลรักษา เช่น ถ้าปลูกในช่วงฤดูฝนจะประหยัดในเรื่องการใช้น้ำแต่จะมีการกำจัด
วัชพืชมากขึ้น ถ้าปลูกในช่วงฤดูร้อนจะพบปัญหาการให้น้ำ แต่การ
กำจัดวัชพืชจะน้อยลง




ประเทศไทยเริ่มปลูกเสาวรสครั้งแรกในปี พ.ศ. 2498 โดย เป็น
พันธุ์สีม่วงมีรสชาติค่อนข้างเปรี้ยว สำหรับมูลนิธิโครงการหลวง
มีการปลูกเสาวรสอยู่ 2 ชนิด คือ เสาวรสโรงงานได้ส่งเสริมปลูก
มานานแล้ว และเสาวรสสำหรับรับประทานสด ซึ่งคัดเลือกพันธุ์
ได้ในปี พ.ศ. 2539 และส่งเสริม ให้เกษตรกรปลูกในปี พ.ศ. 2540 เสาวรสที่ส่งเสริมปลูกในพื้นที่มูลนิธิโครงการหลวงแบ่งได้ 2
ประเภท คือ




1. เสาวรสพันธุ์สำหรับส่งโรงงาน เป็นพันธุ์ที่มีรสชาติเปรี้ยว ส่วนใหญ่ปลูกเพื่อส่งโรงงานเพื่อนำไปแปรรูปน้ำผลไม้ซึ่งมี
อยู่ 2 ชนิด คือเสาวรสโรงงานชนิดสีม่วง เสาวรสชนิดนี้ผิวผล
สีม่วง ผลมีลักษณะกลมหรือรูปไข่ ดอกสามารถผสมตัวเอง
ได้ดี ดอกบานในตอนเช้า ผลสุกมีรสเปรี้ยวและมีกลิ่นหอม
มากกว่าพันธุ์สีเหลือง เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 4-5 เซนติเมตร
น้ำหนัก 50-60 กรัมต่อผล

และเสาวรสโรงงานชนิดผลสีเหลือง เสาวรสชนิดนี้ผิวผลสี
เหลือง ดอกจะบานในตอนเที่ยง ส่วนใหญ่ผสมตัวเองไม่ติด
ต้องผสมข้ามต้น ทนต่อโรคต้นเน่า เถาเหี่ยว โรคไวรัส และ
ทนต่อไส้เดือนฝอย นิยมใช้เป็นต้นตอในการเสียบกิ่งพันธุ์
ของผลสีม่วงเส้นผ่าศูนย์กลางของผลประมาณ 6 เซนติเมตร
น้ำหนักผล 80-120 กรัมต่อผล มีรสเปรี้ยวมาก เนื่องจากเนื้อ
ในมีความเป็นกรดสูงกว่าพันธุ์สีม่วง

2. เสาวรสพันธุ์รับประทานสด เป็นพันธุ์ที่มีรสชาติดี รสหวาน
กว่าพันธุ์ที่ส่งโรงงาน มีอยู่ 2 พันธุ์ คือ พันธุ์รับประทานสดเบอร์ 1
ลักษณะผลเป็นรูปไข่สีม่วงอมแดง ผลที่ผ่าตามขวางมีลักษณะ
มี 3 พู เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5 เซนติเมตร น้ำหนัก 70-80
กรัมต่อผล รสชาติหวานอมเปรี้ยว มีกลิ่นหอม เปอร์เซ็นต์ความ
หวานเฉลี่ยประมาณ 16 Brix

และพันธุ์รับประทานสดเบอร์ 2 ลักษณะคล้ายพันธุ์เบอร์ 1 แต่ผลจะสีเข้มและเปลือกมีความหนากว่าพันธุ์เบอร์ 1 จึงเก็บ
รักษาไว้ได้นาน เส้นผ่าศูนย์กลางของผลประมาณ 5-6
เซนติเมตร น้ำหนัก 70-100 กรัมต่อผล เปอร์เซ็นต์ความหวาน
เฉลี่ยประมาณ 17-18 Brix

เสาวรสจะให้ผลผลิตดีในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ แต่สามารถให้น้ำได้จะสามารถให้ผลผลิตได้ตลอดปี ผลเสาวรส
จะเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 50-70 วันหลังดอกบาน

นับว่าเป็นความสำเร็จอีกชิ้นหนึ่งของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในการทำการศึกษาวิจัยพืชเพื่อการต่อยอดและขยายผลให้กับ
เกษตรกรนำไปเพาะปลูกเชิงพาณิชย์ต่อไปได้.

No comments: