Showing posts with label Computer. Show all posts
Showing posts with label Computer. Show all posts

Sep 7, 2009

Hot Keys สำหรับ Microsoft Word

สำหรับคนที่ต้องใช้ Microsoft Word เป็นประจำครับผม


CTRL + A = Select All เลือกทั้งหมด
CTRL + B = Bold ตัวหนา
CTRL + C = Copy คัดลอก
CTRL + D = Font format กำหนดรูปแบบอักษร
CTRL + E = Center ตรงกลาง
CTRL + F = Find ค้นหา
CTRL + G = Goto ไปที่
CTRL + H = Replace แทนที่
CTRL + I = Italic ตัวเอียง
CTRL + J = Justify จัดชิดขอบ
CTRL + K = Insert Hyper Link แทรกการเชื่อมโยงหลายมิติ
CTRL + L = Left จัดชิดซ้าย
CTRL + M = Indent เพิ่มระยะเยื้อง
CTRL + N = New สร้างแฟ้มใหม่
CTRL + O = Open เปิดแฟ้มใหม่
CTRL + P = Print พิมพ์
CTRL + Q = Reset Paragraph ตั้งค่าย่อหน้าใหม่
CTRL + R = Right จัดชิดขวา
CTRL + S = Save จัดเก็บ (บันทึก)
CTRL + T = Tab (ตั้งระยะแท็บ)
CTRL + U = Underline ขีดเส้นใต้
CTRL + V = Paste วาง
CTRL + W = Close ปิดแฟ้ม
CTRL + X = Cut ตัด
CTRL + Y = Redo or Repeat ทำซ้ำ
CTRL + Z = Undo ยกเลิกการกระทำครั้งล่าสุด

CTRL + SHIFT + A = All Caps ทำเป็นตัวใหญ่ทั้งหมด (สำหรับภาษาอังกฤษ)
CTRL + SHIFT + B = Bold ตัวหนา
CTRL + SHIFT + C = Copy Format คัดลอกรูปแบบ
CTRL + SHIFT + D = Double Underline ขีดเส้นใต้ 2 เส้น
CTRL + SHIFT + E = Revision Mark Toggle สลับการทำเครื่องหมายรุ่นเอกสาร
CTRL + SHIFT + F = Fonts Name Select เลือกชื่อแบบอักษร
CTRL + SHIFT + G = Word count นับจำนวนคำ
CTRL + SHIFT + H = Hidden ซ่อน
CTRL + SHIFT + I = Italic ตัวเอียง
CTRL + SHIFT + J = Thai Justify จัดคำแบบไทย
CTRL + SHIFT + K = Small Caps ทำอักษรตัวพิมพ์เล็กให้เป็นตั
วพิมพ์ใหญ่แบบเล็กๆ
CTRL + SHIFT + L = Apply List Bullet ใช้เครื่องหมายหน้าข้อ
CTRL + SHIFT + M = Unindent ลดระยะเยื้อง
CTRL + SHIFT + N = Normal Style ใช้ลักษณะแบบปกติ
CTRL + SHIFT + O = N/A
CTRL + SHIFT + P = Font Size Select เลือกขนาดแบบอักษร
CTRL + SHIFT + Q = Symbol Font ใช้แบบอักษรสัญลักษณ์
CTRL + SHIFT + R = Recount Words นับคำใหม่
CTRL + SHIFT + S = Style กำหนดลักษณะ
CTRL + SHIFT + T = Unhang ไม่แขวนภาพ
CTRL + SHIFT + U = Underline ขีดเส้นใต้
CTRL + SHIFT + V = Paste Format วางรูปแบบ
CTRL + SHIFT + W = Word Underline ขีดเส้นใต้เฉพาะคำ
CTRL + SHIFT + X = N/A
CTRL + SHIFT + Y = N/A
CTRL + SHIFT + Z = Reset Character ตั้งค่าแบบอักษรใหม่

CTRL + ALT + A = N/A
CTRL + ALT + B = N/A
CTRL + ALT + C = Copyright sign ((c)) สัญลักษณ์ลิขสิทธิ์
CTRL + ALT + D = N/A
CTRL + ALT + E = Euro Sign (?) สัญลักษณ์เงินยูโร
CTRL + ALT + F = Insert Footnote Now แทรกหมายเหตุ
CTRL + ALT + G = N/A
CTRL + ALT + H = N/A
CTRL + ALT + I = Print Preview ตัวอย่างก่อนพิมพ์
CTRL + ALT + J = N/A
CTRL + ALT + K = Auto Format จัดรูปแบบอัตโนมัติ
CTRL + ALT + L = Insert List Number แทรกเลขลำดับหน้าข้อ
CTRL + ALT + M = Insert Annotation แทรกคำอธิบาย
CTRL + ALT + N = Normal View มุมมองปกติ
CTRL + ALT + O = Outline View มุมมองแบบร่าง
CTRL + ALT + P = Page View มุมมองเหมือนพิมพ์
CTRL + ALT + Q = N/A
CTRL + ALT + R = Registered sign สัญลักษณ์เครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียน
CTRL + ALT + S = Document Split แยกเอกสาร
CTRL + ALT + T = Trade Mark sign (?) สัญลักษณ์เครื่องหมายการค้า
CTRL + ALT + U = Update Auto Format for Table ปรับปรุงการจัดรูปแบบอัตโนมัติในตาราง
CTRL + ALT + V = Insert Auto Text แทรกข้อความอัตโนมัติ
CTRL + ALT + W = N/A
CTRL + ALT + X = N/A
CTRL + ALT + Y = Repeat find ค้นหาเพิ่มเติม
CTRL + ALT + Z = Go back ย้อนกลับ

CTRL + < = Decrease Font size by step ลดขนาดตัวอักษรทีละขนาดที่กำหนด
CTRL + > = Increase Font size by step เพิ่มขนาดตัวอักษรทีละขนาดที่กำหนด
CTRL + [ = Decrease Font size by point เพิ่มขนาดตัวอักษรทีละพอยน์
CTRL + ] = Increase Font size by point ลดขนาดตัวอักษรทีละพอยน์
CTRL + - = Optional Hyphen แทรกยัติภังค์
CTRL + _ = Non Breaking Hyphen แทรกยัติภังค์แบบไม่แบ่งคำ
CTRL + = = Sub Script ตัวห้อย
CTRL + + = Super Script ตัวยก
CTRL + \ = Toggle Master sub documemt สลับไปมาระหว่างเอกสารหลักและเอกสารย่อย
CTRL + , = Prefix Keys กำหนดแป้นพิมพ์

FW. Mails

Aug 26, 2009

สาเหตุของปัญหาเครื่องคอมพิวเตอร์แฮงค์





วันนี้เราจะมาพูดถึงปัญหาคอมพิวเตอร์กัน เพราะว่าหลังจากที่เราใช้เครื่องไปสักระยะหนึ่ง ถ้าเครื่องของเราเกิดปัญหาขึ้น เช่น แฮงค์ไปเฉยๆ ไม่สามารถทำงานต่อได้ ต้องรีสตาร์ทเครื่องใหม่บ่อยๆ เราคงอยากทราบว่าสาเหตุและวิธีการแก้ปัญหาที่ทำให้คอมพิวเตอร์แฮงค์ ในหน้านี้เราจะรวบรวมปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นและส่งผลให้คอมพิวเตอร์ของท่านเกิดอาการแฮงค์ขึ้นมาพร้อมวิธีการแก้ปัญหาเหล่านั้น่้

สำหรับปัญหาว่าทำไมเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราเกิดอาการแฮงค์ขึ้นมาเฉยๆนี้เป็นปัญหายอดนิยม และพบกันมากที่สุดในกลุ่มผู้ใช้คอมพิวเตอร์ และเป็นปัญหาที่ไม่ค่อยมีคนรู้สาเหตุมากที่สุด เราสามารถแบ่งแยกประเภทของสาเหตุที่ทำให้คอมพิวเตอร์เกิดอาการแฮงค์ได้ 2 ประการคือ

1. ฮาร์ดแวร์ หรือ 2. ซอฟท์แวร์และระบบปฏิบัติการ (OS) เราจะมาดูสาเหตุที่ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเราแฮงค์ พร้อมทั้งวิธีแก้ไขปัญหาทีละประการ

สาเหตุจากฮาร์ดแวร์ เราสามารถแยกปัญหาที่เกิดขึ้นจากฮาร์ดแวร์ได้ 4 ประเภทได้แก่
ความไม่เข้ากันของอุปกรณ์แต่ละตัว ปัญหานี้มักจะเกิดกับผู้ซื้อคอมพิวเตอร์ประเภทแยกชิ้นส่วนประกอบ ซึ่งอาการแฮงค์เหล่านี้จะเริ่มขึ้นตั้งแต่เราใช้เครื่องครั้งแรกๆเลย อาจจะเปิดเครื่องมาเฉยๆ แล้วก็แฮงค์ใช้งานนิดๆหน่อยๆ แล้วก็แฮงค์ ถ้าอาการหนักหน่อยอาจจะถึงขั้นไม่สามารถใช้เครื่องได้เลย ต้นตอของปัญหานี้เกิดจากการที่เราขาดการศึกษาเรื่องฮาร์ดแวร์ที่นำมาประกอบเป็นเครื่องของเรา อีกทั้งอาจเป็นไปได้ที่ผู้ขายนำอุปกรณ์คุณภาพต่ำมาประกอบเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีราคาถูกมาขายให้เราก็ได้

วิธีแก้ไขปัญหา ก็ควรจะเลือกใช้คอมพิวเตอร์แบรนด์เนมจะดีกว่า แต่ถ้าเกิดเราขัดสนปัญหาทางการเงิน เราก็ควรจะศึกษาจากการอ่านหนังสือ หรือถามจากบุคคลที่รู้จักที่เคยผ่านการใช้คอมพิวเตอร์มาแล้ว การศึกษาก่อนการตัดสินใจซื้อ จะเป็นประโยชน์ต่อตัวคุณและเงินในกระเป๋าของคุณก็จะถูกใช้อย่างคุ้มค่าด้วย

ไดรเวอร์ล้าสมัย ไดร์เวอร์ คือ ซอร์ฟแวร์อย่างหนึ่งที่มีหน้าที่ในการสั่งการหรือเชื่อมโยงการทำงานระหว่างโปรแกรมประยุกต์ หรือระบบปฏิบัติการกับอุปกรณ์ต่างๆภายในเครื่อง เนื่องจากอุปกรณ์คอมพิวเตอร์มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว มีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆออกมามากมายแต่ไดร์เวอร์ที่ออกมาก่อนหน้าที่จะมีอุปกรณ์ตัวใหม่ออกมาก็อาจจะทำงานร่วมกันได้ไม่ดีและเกิดอาการแฮงค์ได้ ซึ่งอาการหลักๆที่เกิดขึ้นกับไดร์เวอร์ คือ ถ้าเรามีการใช้งานอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ที่ไม่ได้มีการอัพเดทไดร์เวอร์ใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอ จะเกิดหน้าจอสีฟ้าขึ้น ซึ่งถ้าเราไม่เข้าใจอาการหรือสาเหตุนี้ เราอาจคิดไปว่าเครื่องเสียจนต้อง Format เครื่องเลยก็มี

วิธีแก้ไขปัญหานี้ง่ายๆ ก็คือ ให้เราไปอัพเดทไดร์เวอร์อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่เว็บไซต์ของผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ หรืออุปกรณ์ที่อยู่ภายในเครื่องของเรา

ฝุ่นคือตัวนำไฟฟ้า สาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้เครื่องของเราแฮงค์ และอาจจะดูเป็นสาเหตุที่ทำให้คนคาดไม่ถึงได้ นั่นก็คือฝุ่นนั่นเอง เราอาจจะสงสัยว่า ทำไมฝุ่นจึงทำให้เกิดอาการแฮงค์ได้ ในความเป็นจริงแล้วฝุ่นดูจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คอมพิวเตอร์แฮงก์ เพราะฝุ่นเป็นตัวนำไฟฟ้าได้จะรุนแรงขนาดไหน ต้องขึ้นอยู่กับชนิดของฝุ่น และอีกสาเหตุที่ทำให้เครื่องแฮงก์ก็คือ บริเวณที่ฝุ่นเกาะ เช่น ถ้าเป็นบริเวณเมนบอร์ดวงจรจะไม่มีผล เพราะมีสารเคลือบกันเอาไว้ แต่บริเวณขาไอซีอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ต่างๆ ในเครื่อง ถ้ามีฝุ่นที่จะสามารถนำไฟฟ้าไปเกาะระหว่างขาสัญญาณ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องทำงานผิดพลาดหรือแฮงค์ได้

วิธีแก้ปัญหา คือ เราก็แค่ทำความสะอาดเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราอยู่เสมอ หรืออย่างน้อย 1 ครั้ง/สัปดาห์ เมื่อใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เสร็จ ก็ควรหาผ้าคลุมเครื่องกันฝุ่น สำหรับอุปกรณ์ภายในควรปรึกษาผู้ชำนาญในการทำความสะอาดส่วนนี้

สาเหตุจากซอร์ฟแวร์และระบบปฏิบัติการ
สาเหตุของคอมพิวเตอร์แฮงค์ที่ดูเหมือนจะเป็นปัญหาใหญ่นั่นคือ ซอร์ฟแวร์และระบบปฏิบัติการ ซึ่งต้นตอของสาเหตุที่ซอร์ฟแวร์ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์แฮงค์ นั่นคือการทำงานผิดพลาดของโปรแกรม และยิ่งเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สนับสนุนการทำงานแบบใช้โปรแกรมหลายๆ โปรแกรมพร้อมกันได้ในเวลาเดียวกัน(Multitasking) จะยิ่งเพิ่มโอกาสให้โปรแกรมภายในเครื่องของเราทำงานขัดแย้งกันสูงขึ้น เราจะมาดูสาเหตุหลักๆ ที่ซอร์ฟแวร์เป็นต้นตอของอาการแฮงค์ในคอมพิวเตอร์ของเรา

สาเหตุจากระบบปฏิบัติการ (Operating System)
ระบบปฏิบัติการ ถ้าเปรียบไปแล้วก็เหมือนกับแม่บ้าน ที่คอยดูแลรักษาบ้านของเราให้อยู่อย่างปกติสุข ซึ่งระบบปฏิบัติการจะทำการควบคุมโปรแกรมหรือฮาร์ดแวร์ ให้ทำงานตามคำสั่งเราอีกทีหนึ่ง อาการที่เราเรียกว่าแฮงค์ที่เกิดจากระบบปฏิบัติการ มักมีสาเหตุมาจากการควบคุมฮาร์ดแวร์ที่ผิดพลาด เช่น การควบคุมหน่วยความจำ เพราะโปรแกรมที่ทำงานระบบปฏิบัติการ Windows ในขณะใดขณะหนึ่งไม่ได้มีแค่โปรแกรมเดียว ดังนั้นระบบปฏิบัติการจึงต้องคอยบริการและควบคุมการใช้งานฮาร์ดแวร์ เพื่อป้องกันการตีกันเองระหว่างโปรแกรมที่ทำงานในขณะนั้น ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างโปรแกรมที่ทำงานอยู่ภายในแต่ละเครื่อง ก็แตกต่างกันตามผู้ใช้แต่ละคน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะออกแบบระบบปฏิบัติการ ให้ปราศจากข้อผิดพลาดในการควบคุมการทำงานระหว่างโปรแกรม แนวทางการแก้ปัญหาคอมพิวเตอร์แฮงค์นั้นคือ การหลีกเลี่ยงการทำงานที่เคยพบว่าทำให้แฮงค์ หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องลงระบบใหม่ ซึ่งอาการอาจจะดีขึ้น หากอาการแฮงค์นั้นเกิดเพราะไฟล์บางไฟล์ของระบบปฏิบัติการถูกแก้ไขไปด้วยโปรแกรมอื่น ซึ่งปัญหาลักษณะนี้จะเกิด และมีวิธีแก้ไขเหมือนกันทุกเครื่องที่มีองค์ประกอบในลักษณะเดียวกัน

สาเหตุจากไดรเวอร์
ไดร์เวอร์ คือโปรแกรมที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อการสั่งงานจากระบบปฏิบัติการ ไปยังฮาร์ดแวร์ของแต่ละผู้ผลิต โดยปกติแล้วไดรเวอร์จะมีโอกาสที่ทำให้เกิดอาการแฮงค์ไม่มากนัก อาการที่เคยพบเห็นก็คือเครื่องจะหยุดนิ่งไปเฉยๆเป็นเวลานาน และเกิดข้อผิดพลาดที่มีการบอกรายละเอียดข้อผิดพลาดขึ้น หรือไม่ก็อุปกรณ์ทำงานเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็น

วิธีแก้ไขปัญหา ขอแนะนำให้อัพเกรดไดรเวอร์ของอุปกรณ์บ้างก็ดี ซึ่งอย่างน้อยมันก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการทำให้เครื่องคอมเราแฮงค์ และยังเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของฮาร์ดแวร์อีกด้วย

โปรแกรมแอพพลิเคชั่นที่ทำให้เครื่องแฮงค์
อาการแฮงค์ที่เกิดจากโปรแกรมประยุกต์ เป็นอาการที่พบได้บ่อยพอสมควร แต่สาเหตุจริงๆ เกือบทั้งหมดไม่ได้มาจากตัวโปรแกรมประยุกต์โดยตรง แต่มักเกิดจาการทำงานการทำงานของไฟล์บางตัว ที่เข้าไปเปลี่ยนแปลงบางจุดของระบบปฏิบัติการ ทำให้ระบบรวนได้ อาการแฮงค์ในลักษณะนี้มักจะอยู่ในรูปของการที่เครื่องหยุดทำงานไปเฉยๆ โดยไม่ได้แสดงอะไรออกมาทั้งสิ้น(แม้แต่หน้าจอสีฟ้า) ซึ่งอาการเหล่านี้อาจจะเกิดกับเครื่องเพียงบางเครื่องเท่านั้น โดยที่เครื่องบางเครื่องใช้โปรแกรมเดียวกันอาจจะไม่เกิดอาการแฮงค์ โปรแกรมประยุกต์ที่ทำให้เครื่องแฮงค์มักจะเป็นโปรแกรมที่ซับซ้อนหรือมีการทำงานที่หลากหลายมากๆ

วิธีการแก้ไขปัญหา ควรหลีกเลี่ยงการใช้งานโปรแกรมพวกนี้ เพราะฟังก์ชันการทำงานที่ซับซ้อนอาจจะเกินความจำเป็นและยังทำให้เครื่องรวนอีกด้วย

สำหรับอีกปัญหาหนึ่งที่เคยพบเห็นมากก็คือ General Protection Fault ซึ่งจะขึ้นมาเป็นกรอบโต้ตอบให้กด Close ได้อย่างเดียว บางคนอาจจะว่าร้ายแรงน้อยกว่า Blue Screen ก็ได้ เพราะไม่ตัดหน้าจอสวยๆ แล้วเปลี่ยนไปเป็นจอสีฟ้าแข็งทื่อ ซึ่งผลกระทบของอาการแฮงค์นี้ ก็จะทำให้เราไม่สามรถทำงานต่อไปได้และยังทำให้เราไม่สามรถเซฟงานที่เราทำไว้ได้อีกด้วย

ลักษณะปัญหาอีกอย่างหนึ่งก็คือ การเกิดจากโปรแกรมประยุกต์ ก็คือเครื่องเราเกิดอาการแฮงค์หลังจากที่ลงโปรแกรมใดๆลงไปนั่นเองทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นในจุดนี้ไม่เคยเกิดอาการแฮงค์ มักจะเกิดขึ้นเมื่อเราลงโปรแกรมเวอร์ชั่นใหม่ทับเวอร์ชั่นเก่า เพราะฉะนั้นเราควรจะถอนเวอร์ชั่นเก่าก่อนลงเวอร์ชั่นใหม่

คอมพิวเตอร์ติดไวรัส
อาการแฮงค์ที่เกิดจาการที่เครื่องเราติดไวรัส เป็นอาการที่ตรวจสอบได้ยากที่สุด เพราะไวรัสคอมพิวเตอร์นั้นเป็นโปรแกรมตัวหนึ่งที่สามทารถเข้ามาในเครื่องของเราได้หลายทาง ถ้าเราไม่เคยตรวจสอบไวรัสภายในเครื่องของเราเลย จนไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไปเลยก็มี อาการเครื่องแฮงค์ที่เกิดจากไวรัส มักจะเกิดกับจุดที่ไม่เคยแฮงค์ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย อีกทั้งก่อนหน้าที่จะแฮงค์นั้น มักจะแสดงอาการแปลกๆให้เรารับรู้ก่อน เช่น ทำงานช้าลงจนเรารู้สึกได้ หรือมีอาการกระตุกบ่อยๆ ในบางครั้งอาจจะมีไฟล์บางไฟล์โผล่เข้ามาโดยเราไม่สามารถหาต้นตอได้ บางคนอาจจะไม่ยอมรับว่า เครื่องติดไวรัส เพราะต่างเชื่อมั่นในโปรแกรมป้องกันไวรัสของตน

วิธีการแก้ไขปัญหา เราจึงไม่ควรเปิดโปรแกรมหรือเอกสารที่เราไม่รู้จักหรือไม่มั่นใจ นอกจากนี้ควรตรวจสอบไวรัสในเครื่องของเราบ้างและอัพเกรดโปรแกรมป้องกันไวรัสบ้างก็ดีนะ

ที่มา : ซุปเปอร์มิกซ์




May 21, 2008

การปรับหัวอ่าน CD-Rom

วิธีการปรับหัวอ่าน CD-Rom บางรุ่นที่อ่านแผ่นบางแผ่นไม่ได้
โดย
วิธีปรับหัว VR ใน Drive CD-Rom หรือที่เรียกกันว่า
Variable Resist

สำหรับผู้ที่มี CD-Rom แต่ว่า Drive ของท่านไม่ สามารถอ่าน
แผ่นทองหรือแผ่น
C
D-R ได้ หรือว่าอ่านได้บ้าง ไม่ได้บ้างก็แล้วแต่
ครับ แต่กรณีที่ผมจะพูดถึงนี้ไม่รวมถึงอาการ ของ
CD-Rom ที่มอเตอร์
เสียนะครับ ผมจะทำเป็นขั้นเป็นตอนละกัน จะ
ได้ดูกันง่ายๆ



ก่อนอื่นก็ต้องเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมครับ ดูในรูปด้านบน
เลยครับ อันดับแรกก็
CD-Rom ที่เริ่มใช้ไม่ได้อย่างใจ ทางที่ดีขอ
ให้เป็น
CD-Rom ที่หมดประกันแ
ล้วจะเยี่ยม เลยครับ ไม่ต้องกลัว
เอาไปเคลมไม่ได้เพราะหมดอ
ายุรับประกัน แล้ว คุณคงไม่มีอะไร
ต้องเสียอีกแล้วล่ะ เมื่อเตรียม
Drive เรียบ ร้อยแล้วก็อย่าลืมไขควง
สี่แฉกขนาดไม่ต้องใหญ่มากก็ได้ครับ แต่ที่ขาดไม่ได้ก็คือไขควง
สองแฉกขนาดเล็ก เล็กสุดยิ่งดีครับ อะไรจะได้ง่ายเข้า เอาล่ะเมื่อ
เตรียมอุปกรณ์ครบแล้วก็มาแงะ เจ้า
CD-Rom
จ้าปัญหากันได้เลย
ครับ

สำหรับในรูปผมใช้ CD-Rom ขอCreative 8X ตัวเก่าของ
ผม ที่มีอาการอย่างว่าครับ อ่านแผ่นทองไม่ได้ ก็เลยถึงคราว..

ก่อนอื่นให้ใช้ไขควงสี่แฉกจัดการทะลวง void ด้านหลัง
ของ
Drive
CD-Rom ซะ ดูในรูปด้านบนละกันครับ อาจจะยับ
เยินนิดหน่อย แต่ไม
่เป็นไรครับ จัดการเอาน็อต สองตัวนี้ออกให้
ได้ก่อน
นะครับ อะไรๆจะได้ง่ายขึ้น

เมื่อคุณสามารถจัดการกับน็อตเจ้าปัญหาสองตัวด้านหลังได้
แล้
ว(ของผมนี่ขันไว้แน่นสุดๆเลยครับ ต้องออกแรงกันพอสมควร)
ก็ให้จัดการถอดหน้ากาก
CD-Rom ที่เป็นพลาสติกออก อันนี้ไม่
ต้องใช้ไขควงครับ เพราะเขาแค่มีตำแหน่งที่ยึดกันไว้เฉยๆ แล้วก็
อย่าลืม ถอดหน้ากากที่ติดกับถาด
CD-Rom ด้วยนะครับ ดูในภาพ
ด้านบน เลยครับ จากนั้นก็ค่อยถอดฝาครอบ
CD-Rom ออกมาให้
หมดครับ ขั้นตอนนี้ของผมไม่ต้องพึ่งไขควงเลย ถ้าเสร็จแล้วก็ไป
ตามขั้น
ตอนต่อไป ได้เลยครับ



เอาล่ะครับ ทีนี้มันก็จะโป๊อย่างที่เห็นในภาพด้านบน ให้จับตรง
บริเวณ ตัวยึดแผ
่น CD ง้างขึ้นแบบในรูปนะครับ จากนี้ให้เตรียมไขควง สองแฉกเบอร์เล็กๆไว้ในมือได้แล้วครับ เมื่อง้างขึ้นแล้วก็ให้หาตำแหน่ง
ของเลนซ์ที่เอาไว้อ่าน
CD ให้ดีนะครับ




เมื่อเจอตำแหน่งของหัวอ่าน CD แล้ว ให้ตรวจหาชิ้นส่วนที่
เป็นโลหะสี ออกทองเหลือง รูปร่างลักษณะจะเป็นวงรีเล็ก
ดูในรูปด้าน
บนละกันครับ ตรง ตำแหน่งที่ผมเอาไขควงชี้ไว้ให้ดูนั่นแหล่ะครับ
สำหรับตำแหน่งที่นอนนั้น
ผมไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่า CD-Rom
ทุกยี่ห้อจะวางตำแหน่ง
VR ไว้ ตำแหน่งเดียวกันรึปล่าว
เท่าที่ผมเคย
แงะดูนอกจากของ
Creative แล้ว ผมเคยดูของ LGs บ้างเหมือนกับ

พบว่าวางตำแหน่งหัวปรับ
VR ไว้คนละ ตำแหน่งกัน ยังไงก็คงต้องหา
ดีๆหน่อยน
ะครับ

ทีนี้เมื่อทุกท่านหาหัวปรับ VR เจอแล้วก็ให้จัดการเอาไขควง
อั
นจิ๋วของเรา จัดการหมุนหัวปรับ VR ไปตามเข็มนาฬิกาประกาณ
20-25 องศาครับ ไม่ต้องหมุนหักโหมนะครับ
นิดเดียวพอ

รูปอาจจะมองไ
ม่ค่อยชัดนะครับ เพราะไอ้เจ้า VR นี้มันเล็กจิ๋ว
จริงๆ มุมกล้องก็เลยค่อนข้างจำกัดครับ เอาเป็นว่าดูไว้อ้างอิงตำแ
หน่ง
หรือ รูปร่างของหัวปรับ
VR กับ Drive ของท่านก็ได้ครับ

เมื่อหมุนเรียบร้อยแล้วอย่าเพิงประกอบกลับเข้าไปนะครับ
ให้ลองใส่แผ่น ทองหรือแผ่นอะไรก็ได้มี่เมื่อก่อนมันไม่สามารถอ่าน
ได้ จากนั้นเสียบกลับ เข้าไปทั้งโป๊ๆอย่างนั้นก่อน เพื่อความแน่ใจ
ถ้าเกิดว่ายังไม่สามารถอ่านได้อีก ก็ให้เอาออกมาหมุนเพิ่มประมาณ

3-5 องศา จากนั้นลองดูอีกครั้งครับ






ถ้าอ่านได้ก็แสดงว่าสำเร็จแล้ว คุณอาจจะได้
CD-Rom
ที่คุณคิดว่า มันจากไปตลอดกาลกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง อย่าง
น้อยก็ใส่ไว้ฟังเพลง ล่ะครับ ไม่รู้ว่าจเปลืองไฟรึปล่าวนะ แต่เจ้า

CD-Rom ของผมทำแล้ว มันก็ OK ครับ แม้ว่าจะสามารถอ่านแผ่น
ทองได้ประมาณ
70% แต่ก็ ดีกว่าสมัยก่อนที่จะเอามาปรับหัว VR
มากครับ เพราะก่อนหน้านั้นมัน ไม่สามารถอ่านแผ่นทองได้เลย
แต่เท่าที่ผมสังเกตุดู
Drive CD-Rom ที่เอามาปรับหัว VR นั้นจะ
ใช้เวลา
seek แผ่นนานขึ้นกว่าก่อนมากพอ สมควรเลยล่ะครับ

ถ้าเกิดทำตามขั้นตอนที่บอกมาแล้วยังไม่ได้ผลก็คงต้อง
ทำใจล่ะครับ เพราะปัจจัยที่ทำให้
CD-Rom เสียมันก็มีหลายสาเหตุ
ที่จริงผมเองก็ ไม่ค่อยจะรู้อะไรเกี่ยวกับวิธีซ่อมมากนัก เพราะผมเอง
ก็ไม่ใช่ช่างซะด้วย ยังไง ถ้า
Drive ยังอยู่ในประกันก็อย่าเอามาเสี่ยง
เลยครับ แนะนำว่าให้ส่งร้าน เคลมดีที่สุด ปลอดภัยกว่าครับ เพราะ
ผมก็ไม่การันตีว่าทำตามวิธีนี้แล้วจะ หายขาด
100%

ก็หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้หลายคนกระจ่างขึ้นนะครับว่า
ไอ้เจ้า หัว
VR ที่เค้าว่ากันมันอยู่ตรงไหน ถ้าจำไม่ผิดหนังสือคอมบาง
เล่มก็ เคยลงเรื่องปรับหัง
VR นี้บ้างเหมือนกัน แต่ไม่ได้ลงรูปไว้ด้วย หรือใครที่เคยแต่ได้ยินเค้าพูดกันแต่ตัวเองหาไม่เจอหรือไม่แน่ใจ
ก็คงเอาไปทำตามได้ไม่ยากนะครับ


เก็บจาก เซียนคอม

May 20, 2008

จั้มเปอร์(Jumper)

เชื่อหรือไม่? เพิ่มศักยภาพให้คอมพ์ได้ง่าย ๆ ผ่าน Jumper Dip Switch
สะพานไฟแห่งชีวิตคอมพ์ของคุณ สิ่งที่หลายคนกลัวนักหนากำลังจะถูกเปิดเผย
ความจริง...



วันเวลาผ่านไปเทคโนโลยีก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ ทุกวันนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่า
คอมพิวเตอร์มีบทบาทในชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างมาก หลายคนเลือก
ที่ซื้ออุปกรณ์ คอมพิวเตอร์มาประกอบเอง หรือให้ทางร้านประกอบให้ แทนที่
จะซื้อจากบริษัทขายคอมพิวเตอร์ Brandname ปัญหาที่ตามมาคือเราจะ
ประกอบอุปกรณ์แต่ละชิ้นเข้าไป ได้อย่างไร? หรือในกรณีที่ร้านค้าประกอบ
ให้เรา เคยคิดบ้างไหมว่าร้านค้านั้นประกอบให้เราถูกต้องหรือเปล่า ? ประกอบ
เครื่องคอมพิวเตอร์ให้เราแล้วสามารถดึง ประสิทธิภาพออกมาเต็มที่หรือเปล่า ?
บ่อยครั้งที่ผมเองก็พบว่าช่างที่ร้านติดตั้งตัว Jumper บนเมนบอร์ดผิด สับ
Dip Switch ผิด อันจะเกิดจากช่างไม่มีประสบการณ์ หรือหลงลืมไปชั่วขณะ
ก็ไม่อาจทราบได้ แต่สุดท้ายก็ผิดไปแล้ว

Jumper & Dip Switch อุปกรณ์น่าสะพรึงกลัว






ผมเชื่อได้เลยว่าเพื่อน ๆ หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า Jumper, Dip Switch
มาบ้างแล้ว แต่อาจจะยังไม่เข้าใจว่า เซ็ตอย่างไร หรืออาจจะไม่กล้าไปยุ่ง
กับมัน อันที่จริงสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวเลย และจำเป็นมาก ๆ ที่เราจะ
ต้องรู้ไว้บ้าง พวก Jumper, Dip Switch ต่าง ๆ เหล่านี้จริง ๆ มีหน้าที่สำหรับ
กำหนดการทำงาน ของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ให้ทำหน้าที่ต่างกันออกไป จะเห็น
ตัวอย่างหน้าที่ชัดเจนก็บน เมนบอร์ดรุ่นหนึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าจะให้มี FSB
(Font Side Bus) ความเร็วเท่าไร 66,100,133 MHz จะให้ตัวคูณ (Multiple)
ของ CPU เท่าไร ? เพื่อให้เมนบอร์ด รุ่นนั้น ๆ สามารถรองรับการทำงานของ
CPU ได้มากที่สุด แล้วก็เป็นหน้าที่ของช่าง หรือเราเองที่จะต้องมานั่งเซ็ตให้
ตรงกัน นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ในวันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องที่
เกี่ยวกับพวก Jumper ต่าง ๆ ที่อยู่บน เมนบอร์ด, Hard Drive , CD-ROM Drive
กันว่าสามารถเซ็ตอะไรได้บ้าง

Jumper บน เมนบอร์ด

เมนบอร์ดถือว่าเป็นส่วนที่มี Jumper ให้เซ็ตติดตั้งอยู่มากพอสมควร
เมนบอร์ดรุ่นใหม่ ๆ พยายามจะลดความยุ่งยากในส่วนนี้จึงพยายาม
ทำเทคโนโลยีที่เรียกว่า "Jumper Less" คือมี Jumper ให้น้อยที่สุด
หรือ ไม่มีเลย แล้วย้ายการเซ็ตค่าต่าง ๆ ไปเป็นส่วน Software หรือ
บน Bios ที่เรียกว่า "Soft Menu" เพื่อให้ผู้ใช้งานยังคงสามารถปรับ
แต่งค่าต่าง ๆ ได้ จากเดิมที่รูปร่างหน้าตาของ Jumper เป็นขาทองแดง
แล้วใช้พลาสติกเล็ก ๆ ซึ่งข้างในมีแผ่นโลหะเป็นตัวเชื่อม เมนบอร์ด
บางรุ่นก็เปลี่ยนมาเป็น Dip Switch ที่ปรับแต่งได้ง่ายกว่า สะดวกกว่า
และดูไม่น่ากลัวแทน วิธีการเซ็ต Jumper ส่วนใหญ่จะเป็นการเชื่อม
ขาทองแดงเข้าด้วยกัน ซึ่งต้องอาศัยตัวเชื่อมที่เป็นลักษณะพลาสติก
ตัวเล็ก ๆ ที่ข้างในจะเป็นทองแดง เป็นสื่อให้ขาทองแดงทั้งสองเชื่อม
ถึงกัน และพลาสติกรอบข้างทำหน้าที่เป็น ชนวนป้องกันไม่ให้ทองแดง
ไปโดนขาอื่น ๆ
ส่วนวิธีการเซ็ต Dip Switch ก็ง่าย ๆ ให้เรานึกถึง Switch ไฟธรรมดา
ที่มีการปิดและเปิด ซึ่งจริง ๆ แล้วทั้ง Jumper และ Dip Switch นั้นต่างมี
จุดมุ่งหมายเหมือนกันตรงที่ทำงานเปรียบเสมือน Switch ธรรมดา มีสภาวะ
เปิดและปิด (Open and Close) เพื่อให้การเชื่อมและตัดวงจรนั้นเป็นตัว
บอกให้เมนบอร์ด รู้ว่าเราต้องการให้ทำงานอย่างไร




ตัวอย่าง Dip Switch บนเมนบอร์ด

อันที่จริงแล้วเวลาเราจะเช็ท Jumper หรือ Dip Switch เราจำเป็นต้อง
อ่านคู่มือเมนบอร์ดให้ดี ๆ ก่อน เพื่อที่จะได้รู้ว่าเรากำลังจะเซ็ตอะไร เซ็ตตรงไหน
อย่างไร และได้ค่าอะไรนะครับ ภาพด้านข้างนี้ เป็นตัวอย่าง Layout ของเมน
บอร์ดของ Soltek SL-75JV บนเมนบอร์ดที่สำคัญ ๆ หลัก ๆ ที่เราต้องเซ็ตก็คือ
เรื่องของ FSB (Font Side Bus) และ Multiple ของ CPU เพื่อให้เมนบอร์ดทำ
งานสอดคล้องกับ CPU ที่เรานำมาติดตั้ง จากตัวอย่างทั้งสองส่วนนี้เป็นการเซ็ต
แบบ DIP Switch ซึ่ง SW1 เป็นการเซ็ต FSB (Font Side Bus) และ SW2
เป็นการเซ็ต Multiple (ตัวคูณ) ตามคู่มือเมนบอร์ดเป็นดังตารางที่ 1 และ 2
เมนบอร์ดที่นำมาเป็นตัวอย่างนี้รองรับการทำงาน CPU ตระกูล AMD เพราะฉะนั้น
หากผมต้องการนำเอา CPU Athlon Thunderbird ความเร็ว 850 MHz มาติดตั้ง
บนเมนบอร์ดรุ่นนี้ผมต้องเซ็ต SW1 CPU Clock = 100 MHz ซึ่งต้องปรับ
DIP 1-5 บน SW1 เป็น Off On Off Off On ตามลำดับ ส่วน SW2 ต้องเลือก
Multiple 8.5x เพราะฉะนั้นต้องเซ็ต DIP 1-4 บน SW2 เป็น Off Off On Off



มีการเซ็ต Jumper หนึ่ง ที่เราน่าจะรู้ไว้ว่าอยู่ตรงส่วนไหนของเมนบอร์ด

คือ การ Clear CMOS Data เอาไว้เวลาที่เรา Update CMOS Version ใหม่ ๆ
หรือว่าหากเกิดปัญหาจากการที่เราเข้าไป Set ค่าต่าง ๆ ใน BIOS แล้วทำให้
BOOT ไม่ได้ เราจะได้ใช้ Jumper Clear CMOS DATA ทำการ Clear ค่าต่าง ๆ
ใน BIOS ให้กลับไปอยู่ในสภาวะเริ่มต้นเหมือนค่าที่ถูกเซ็ตจากโรงงานนะครับ
สำหรับเมนบอร์ดรุ่นนี้ตัว Jumper นี้จะอยู่ที่ JBAT1 ดังรูป

สภาวะปกติตัว Jumper จะเชื่อมอยู่ที่ขา 1-2 หากเราต้องการ Clear
CMOS Data เราต้องย้าย Jumper มาที่ 2-3 แต่อย่าลืมนะครับว่าต้องทำการย้าย
Jumper ขณะปิดเครื่อง และตามคู่มือบอกว่าแค่เราย้ายมาก็จะ Clear CMOS
แล้วไม่ต้องเปิดเครื่อง จากนั้นทำการย้ายกลับไปยัง 1-2 แล้วทำงานตามปกติ



Jumper บน Hard Drive และ CD-Rom Drive








หน้าที่หลัก ๆ ของ Jumper ใน Hard drive และ CD-Rom Drive
ก็คือการเซ็ตว่า Drive นั้นเป็น Master หรือ Slave หลาย ๆ คนอาจจะเริ่ม
งงว่าอะไร Master อะไร Slave จะขออธิบายคร่าว ๆ ดังนี้นะครับว่าปัจจุบัน
Drive จำพวก Hard Drive และ CD-Rom Drive นั้นจะมีมาตรฐานการต่อแบบ
IDE ซึ่งบนเมนบอร์ดส่วนใหญ่จะมีช่องต่อ IDE สองช่องซึ่งเรียกว่า Primary
และ Secondary แต่ละช่องก็จะต่อ Drive ได้ 2 Drive นั้นหมายความว่าเครื่อง
โดยทั่วไปจะสามารถใส่ Hard drive และ CD-Rom Drive รวมกัน 4 ตัว
เนื่องจาก 1 ช่อง IDE สามารถต่ออุปกรณ์ได้ 2 ตัวนี้แหละครับที่ทำให้เราต้อง
มานั่งเซ็ตว่าจะให้ตัวไหนเป็น Master ตัวไหนเป็น Slave แต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อก็
กำหนดต่างกันออกไป แต่อย่างไรก็ตามเราก็ยังสามารถ ใช้พื้นฐานความรู้ใน
การเซ็ตเดียวกันได้ สำหรับฮาร์ดดิสก์และไดรฟ์ CD-Rom นั้น ผู้ผลิตมักจะระบุ
การเซ็ตค่ามาให้ บนตัวมันเอง ใกล้ ๆ กับจุดที่เซ็ตอยู่แล้ว และการดูก็ไม่ยาก
เท่าไหร่ เพียงแต่ท่านต้อง เข้าใจคำว่า Master กับ Slave เท่านั้น ส่วนค่าอื่น ๆ
ที่เห็น เช่น Cable Select นั้น จะเป็นการใช้งานแบบพิเศษกับ สายเคเบิ้ล จะ
เกิดอะไรหากเราเซ็ตไม่ถูกต้อง หรือเซ็ตอุปกรณ์ 2 ตัวมาชนกันเอง คำตอบคือ
อุปกรณ์ไม่ถึงกับเสียหายหรอกครับ แค่เครื่องของเราก็จะมองไม่เห็นว่า เราได้
ติดตั้งตัว Drive นั้นไปแล้วเท่านั้นเอง พอเราเซ็ตใหม่ให้ถูกต้องทุกอย่างก็จะ
กลับมาเป็นเหมือนเดิมครับ ไม่ต้องกลัวกับการเซ็ต Jumper พวกนี้นะครับ

สรุป

เรื่องราวของ Jumper ที่จริงก็คือ ส่วนที่ช่วยให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ทำงานได้
หลากหลายหน้าที่ ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ ในเมนบอร์ดส่วนใหญ่จะเป็น
การเซ็ตว่าขณะนี้ต้องการนำเอา CPU อะไรมาติดตั้ง จะให้ Disable/Enable
ความสามารถต่าง ๆ ในเมนบอร์ดไม่ว่าจะเป็น Sound On Board, Vga On Board
หรือจะเป็นการ Clear CMOS Data ส่วนใน Drive ชนิดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Hard
drive , CD-ROM Drive จะเป็นการกำหนดบทบาทหน้าที่ ส่วนในอุปกรณ์อื่น ๆ นั้น
เราอาจจะเห็นการเซ็ต Jumper ได้ใน Card Interface บางประเภท ทั้งนี้ทั้งนั้นการ
เซ็ตค่าต่าง ๆ ต้องอาศัยคู่มือประกอบ เพราะว่าแต่ละอุปกรณ์ แต่ละโรงงานก็จะออก
แบบมาไม่เหมือนกัน เซ็ตผิดพลาดก็อาจจะทำให้อุปกรณ์นั้นใช้งานไม่ได้ แต่โดย
ส่วนตัวแล้วคิดว่าไม่น่าจะทำให้ถึงกับเสียหายอะไร เพราะทางโรงงานผู้ผลิตต้องเผื่อ
เหตุการณ์นี้ไว้อยู่แล้ว ขอให้เซ็ตให้ถูกต้องอุปกรณ์ก็น่าจะใช้งานได้ ดังนั้น ไม่ต้อง
กลัวนะครับของอย่างนี้ ถ้าเราอ่านคู่มือเข้าใจดีแล้วก็ลุยเลยครับ