Showing posts with label การเกษตร. Show all posts
Showing posts with label การเกษตร. Show all posts

Apr 12, 2011

'บัวประดับ'...สวยแถมเสริมรายได้

ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร จังหวัดฉะเชิงเทรา (พืชสวน) เป็นแหล่งเรียนรู้อีกแห่งหนึ่งซึ่งมีความพร้อมในการถ่ายทอดองค์ความรู้
และ เทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสมให้แก่เกษตรกรและผู้สนใจทั่วไป เพื่อพัฒนาและเพิ่มทักษะในการประกอบอาชีพการเกษตรโดยเฉพาะด้านพืชสวน นอกจากจะช่วยเสริมสมรรถนะเกษตรกรแล้ว ยังเป็นช่องทางสร้างอาชีพหลักหรืออาชีพเสริมช่วยสร้างรายได้อีกด้วย  ..ซึ่งศูนย์ฯนี้ขึ้นชื่อในเรื่อง “บัวประดับ”



  
นายคนึง กลับกลาย ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดฉะเชิงเทรา (พืชสวน) กรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า ศูนย์ฯได้รับมอบภารกิจให้ส่งเสริมการฝึกอบรมอาชีพการเกษตรแก่เกษตรกรและผู้ สนใจทั่วไป อาทิ การปลูกมะนาวในบ่อซีเมนต์และกระถาง การปลูกมะนาวบนตอมะขวิด การปลูกผักไม่ใช้ดินโดยใช้ชุดไม้ไผ่ การขยายพันธุ์ไม้ผล การผลิตมะม่วงแฟนซี การผลิตมะม่วงนอกฤดู การเพาะเห็ดฟางในตะกร้า และบัวประดับ เป็นต้น ทั้งยังผลิตปัจจัยการผลิต เช่น พันธุ์พืชสวน ไม้ผล ผักพื้นบ้านและสมุนไพร เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาอาชีพแก่เกษตรกร นอกจากนั้นยังเป็นที่ปรึกษาวิชาการเพื่อพัฒนาอาชีพการเกษตร และให้บริการทางการเกษตรโดยมีพื้นที่รับผิดชอบ 10 จังหวัด ได้แก่ ฉะเชิงเทรา พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท ลพบุรี สระบุรี นนทบุรี ปทุมธานี และกรุงเทพฯ และยังส่งเสริมบริการวิชาการอาชีพการเกษตรให้แก่เกษตรกร 15 หมู่บ้านที่อยู่รอบศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ด้วย
   
ภายในศูนย์ฯ มีแปลงแม่พันธุ์พืชสวนพันธุ์ดีหลายชนิด ได้แก่ มะม่วง ฝรั่ง พันธุ์กล้วย  พันธุ์บอนสี ชมพู่ บัวประดับ 


   
การรวบรวมพันธุ์บัวประดับ เป็นโครงการหนึ่งที่ศูนย์ฯได้จัดทำขึ้น เพื่อศึกษาลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของบัว รวมทั้งศึกษาการเจริญเติบโต ศึกษาการนำไปใช้ประโยชน์ และเพาะขยายพันธุ์บัวเพิ่มขึ้น  ซึ่งคาดว่าจะเป็นแหล่งพัฒนาการเรียนรู้ให้กับเยาวชน นักเรียน นิสิต นักศึกษา  ขณะเดียวกันยังเป็นแหล่งฝึกอาชีพการเกษตรให้แก่ผู้สนใจทั่วไป และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร เพื่อให้ประชาชนได้มาพักผ่อนหย่อนใจและศึกษาหาความรู้ควบคู่กันไปด้วย
   
พันธุ์บัวที่รวบรวมไว้ภายในศูนย์ฯ มี 3 สกุล คือ 1. ปทุมชาติ (Lotus) หรือบัวหลวง 2. อุบลชาติ (Waterlily) มีทั้งบัวฝรั่ง บัวผัน บัวเผื่อน และบัวสาย 3. บัวกระด้ง หรือบัววิคตอเรีย โดยปลูกแยกแต่ละชนิดไว้ในบ่อซีเมนต์ ซึ่งจัดการง่าย ไม่ยุ่งยาก ขณะนี้บัวที่ปลูกไว้ออกดอกสีสันสวยงามมาก  อาทิ พันธุ์มังคลอุบล ฉลองขวัญ บัวหลวง บัวหลวงปักกิ่ง แม่พลอย บัวกระด้ง ปาริช เรดแฟร์ บัวนางกวักม่วง และบัวจงกลนี เป็นต้น ผู้ที่เข้ามาศึกษาเรียนรู้เรื่องการผลิตบัวประดับจะได้ฝึกปฏิบัติจริงเพื่อ ให้นำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพได้ ซึ่งตลาดบัวประดับมีแนวโน้มค่อนข้างดี อนาคตศูนย์ฯได้มีแผนที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการใช้ประโยชน์จากบัว และการเพิ่มมูลค่าบัวด้วย

"บัวเป็นพันธุ์ไม้น้ำที่มีดอกสีสันสวยงามสะดุดตา ซึ่งเกษตรกรหรือผู้สนใจสามารถใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์โดยการผลิตบัว ประดับในอ่าง กระถางหรือบ่อซีเมนต์ เป็นงานอดิเรกที่ช่วยเพิ่มช่องทางสร้างรายได้เสริมที่น่าสนใจ  ซึ่งใช้ต้นทุนน้อย นักเรียน นักศึกษาก็ทำได้“ 

หากสนใจฝึกอบรมอาชีพการเกษตรด้านพืชสวน สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร จังหวัดฉะเชิงเทรา (พืชสวน) โทร. 0-3859-9019 ในวันและเวลาราชการ.

Sep 7, 2009

ศิลปะบนนาข้าวอินทรีย์​ ป้องพืชไทยพ้น GMO

 ศิลปะบนนาข้าวอินทรีย์​

ศิลปะบนนาข้าวอินทรีย์


นาข้าว GMO


“คน​ไทยรักข้าวไทย” ​กรีนพีซร่วมสนับสนุน​ให้​คนไทยตระหนัก​ถึง​ความ​สำ​คัญของข้าวไทย

ข้าว​ ​อาหารหลักของคนไทย​ ​ผลิตผลการเกษตรส่งออกหลักของประ​เทศ

ชาวนา​ ​กระดูกสันหลังของชาติ​ ​กำ​ลังไดัรับผลกระทบอย่างรุนแรง​จาก​ข้าวดัดแปลงพันธุกรรม​ (จี​เอ็มโอ) ​ของบริษัทเคมี​เกษตร

ชาวนา​ไทยปลูกต้นกล้าข้าวอินทรีย์บนผืนนาที่กรีนพีซเลือก​ ​นาข้าวผืนนี้ขณะนี้​ได้​กลาย​เป็น​ศิลปะ​ ​หรือ​ “ศิลปะบนนาข้าว” ​ที่นำ​เสนอภาพชาวนา​เกี่ยวข้าว​ ​ซึ่ง​เป็น​พืชอาหารที่สำ​คัญที่สุดของโลก

ศิลปะบนนาข้าวเกิดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองมรดกอันมีค่ายิ่งของประ​เทศไทย ​ ​นั่นคือ​ ​ข้าว​ ​เพื่อกระตุ้น​ให้​รัฐบาลปกป้องฟืชอาหารที่สำ​คัญที่สุดของภูมิภาค​จาก​ ภัยคุกคาม​จาก​การตัดต่อพันธุกรรมที่กำ​ลังคืบคลาน​เข้า​มา​ ​รวม​ถึง​จาก​ผลกระทบอันร้ายกาจของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

 ศิลปะบนนาข้าวอินทรีย์​,ชาวนาไทย

ศิลปะบนนาข้าวอินทรีย์ ,ชาวนาไทย

เมื่อต้นปี​ ​กรีนพีซ​ได้​เชิญชวน​ให้​คุณ​เป็น​ส่วน​หนึ่งของงาน​ “​ปลูกรัก​ให้​ต้นข้าว​” ​ใน​วันแห่ง​ความ​รัก​ ​เพื่อสร้างสรรค์ศิลปะบนนาข้าวอินทรีย์​เป็น​ครั้งแรก​ใน​ประ​เทศไทย​ ​ที่จังหวัดราชบุรีื​ ​โดย​เชิญชวน​ให้​มา​ช่วย​ปลูกข้าว​ใน​นาข้าว​ 2 ​สี​ (ข้าวสีทอง​กับ​ข้าวก่ำ​สีดำ​) ​ขนาด​ 10 ​ไร่

เพื่อสร้างศิลปะอันสวยงาม​ ​ที่สะท้อน​ถึง​วิถีชีวิตของเกษตรกรไทย​ ​ซึ่ง​เปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของชาติ ​ ​ใน​กิจกรรมงาน​ “​ปลูกรัก​ให้​ต้นข้าว​” ​เรา​ได้​ร่วม​กัน​ลงแขกดำ​นา​ ​พูดคุยเรื่องเกษตรกรรมอินทรีย์​กับ​ปราชญ์ข้าวไทย​ (คุณลุงทองเหมาะ​ ​แจ่มแจ้ง)

และ​มีการสอนการทำ​สารสกัด​จาก​ธรรมชาติ​เพื่อ​ใช้​ควบคุมแมลงศัตรูพืช​ ​เช่น​ ​น้ำ​ส้มควันไม้​ ​ที่ชาวนาผลิตขึ้นเพื่อ​ใช้​ไล่​แมลง​ใน​นาข้าว​ ​เพื่อ​ให้​ผู้​เข้า​ร่วม​สามารถ​นำ​กลับไป​ใช้​ได้​กับ​ต้นไม้ของที่บ้าน​ ได้​ด้วย

 ศิลปะบนนาข้าวอินทรีย์​,ชาวนาไทย

ศิลปะบนนาข้าวอินทรีย์ ,ชาวนาไทย

… ​และ​ตอนนี้​แปลงข้าวนี้​ ​ได้​เติบโต​เป็น​ภาพศิลปะ​จาก​ธรรมชาติที่สวยงาม​ ​พร้อม​ให้​ชื่นชม​กัน​แล้ว

 ศิลปะบนนาข้าวอินทรีย์​,ชาวนาไทย

ศิลปะบนนาข้าวอินทรีย์ ,ชาวนาไทย

ตั้งแต่ต้นปีนี้​ ​กรีนพีซ​ได้​รณรงค์​เพื่อปกป้องข้าวไทย​จาก​การตัดต่อพันธุกรรม​ (จี​เอ็มโอ) ​เราหวังว่าการรณรงค์นี้​จะ​สร้าง​ความ​สนใจแก่สาธารณชน​ ​ได้​รับการสนับสนุน​จาก​ภาครัฐ

เพื่อหยุดยั้งบรรษัทเคมี​เกษตรข้ามชาติ​ไม่​ให้​ทดลองข้าวจี​เอ็มโอ​ใน​ ประ​เทศไทย​ ​พืชจี​เอ็มโอมี​เจ้าของสิทธิบัตร​ ​เป็น​เครื่องมือ​ใน​การขโมยอธิปไตยทางอาหารไป​จาก​ประ​เทศ​ ​คุกคามชีวิต​ความ​เป็น​อยู่​ของเกษตรกร​ ​ส่งผลกระทบต่อ​ความ​หลากหลายทางชีวภาพอันมีค่า​ ​และ​ ​เป็น​ภัยต่อสุขภาพ

 ศิลปะบนนาข้าวอินทรีย์​,ชาวนาไทย

ศิลปะบนนาข้าวอินทรีย์ ,ชาวนาไทย

ต้นกล้าข้าวอินทรีย์ที่กรีนพีซนำ​ไป​ใช้​สร้างศิลปะบนนาข้าว​ ​สายพันธุ์ชัยนาท​ 1 ​เป็น​สายพันธุ์ข้าวที่ปลูก​ใน​นาชลประทาน​ ​และ​สายพันธุ์ก่ำ​พะ​เยา​ ​เป็น​สายพันธุ์ข้าวพื้นเมือง​ ​มีสีดำ

ชาวนา​ไทยปลูกต้นกล้าข้าวอินทรีย์บนผืนนาที่กรีนพีซเลือก​ ​นาข้าวผืนนี้ขณะนี้​ได้​กลาย​เป็น​ศิลปะ​ ​หรือ​ “ศิลปะบนนาข้าว” ​ที่นำ​เสนอภาพชาวนา​เกี่ยวข้าว​ ​ซึ่ง​เป็น​พืชอาหารที่สำ​คัญที่สุดของโลก

 ศิลปะบนนาข้าวอินทรีย์​,ชาวนาไทย

ศิลปะบนนาข้าวอินทรีย์ ,ชาวนาไทย

ศิลปะบนนาข้าวเกิดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองมรดกอันมีค่ายิ่งของประ​เทศไทย ​ ​นั่นคือ​ ​ข้าว​ ​เพื่อกระตุ้น​ให้​รัฐบาลปกป้องฟืชอาหารที่สำ​คัญที่สุดของภูมิภาค​จาก​ ภัยคุกคาม​จาก​การตัดต่อพันธุกรรมที่กำ​ลังคืบคลาน​เข้า​มา​ ​รวม​ถึง​จาก​ผลกระทบอันร้ายกาจของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ



ขอบคุณที่มาของข้อมูลอันล้ำค่าของคนไทยจาก greenpeace

http://www.greenpeace.org/seasia/th/campaigns/gmos/rice-art



Fw. Mails

Aug 13, 2009

ดอกมะลิ






ชื่อไทย : มะลิ / ชื่อสามัญ (Common name) : Jasmine
ชื่อวิทยาศาสตร์ (Scientific name) : Jasminum tuberosa spp.
ชื่อวงศ์ (Family) : Oleaceae / ถิ่นกำเนิด (Native) : เขตร้อนหรือเขตกึ่งร้อนชื้น




มะลิเป็นไม้ดอกเศรษฐกิจที่นับวันมีความสำคัญมากขึ้นประโยชน์ที่ด้รับจากมะลิ เช่น เก็บดอกสำหรับทำพวงมาลัย ดอกไม้แห้ง อุตสาหกรรมน้ำมันหอมระเหย แล้วยังมีประโยชน์รวมถึงใช้เป็นพืชสมุนไพรรักษาโรคได้ เช่น มะลิซ้อนดอกสดใช้รักษาโรคตาเจ็บ แก้ตัวร้อน แก้หวัด เป็นต้น พื้นที่การปลูกมะลิของประเทศไทยในปี 2534 จำนวน 3,800 ไร่ แหล่งปลูกอยู่ในเขตจังหวัด นครสวรรค์ พิษณุโลก ลำพูน หนองคาย สมุทรสาคร และนครปฐม เขตจังหวัดที่ปลูกมากที่สุด คือ นครปฐม ซึ่งปลูกถึง 1,964 ไร่ การส่งออกในปี 2534 จะส่งออกในรูปของดอกมะลิมูลค่า 23,990 บาท ส่งออกในรูปของต้นมะลิ มูลค่า 9,855 บาท และในรูปพวงมาลัย มูลค่าถึง 3,293,225 บาท ตลาดของมะลิในต่างประเทศที่สำคัญคือ เนเธอแลนด์ อเมริกา และเบลเยี่ยม ส่วนตลาดพวงมาลัยของไทยคือ อเมริกา และญี่ปุ่น




มะลิมีลักษณะต้นเป็นไม้พุ่ม ไม้เลื้อย และไม้รอเลื้อย ใบมีทั้งใบเดี่ยวและใบรวม การจัดเรียงตัวของใบมีทั้งแบบใบอยู่ตรงกันข้าม ใบแบบสลับกัน ดอกมีสีขาว กลีบดอกมีชั้นเดียวและหลายชั้น เป็นดอกเดี่ยวและดอกช่อดอกจะออกจากยอดหรือข้างกิ่งส่วนมากมีกลีบเลี้ยง 4-9 กลีบ กลีบดอกมี 4-9 กลีบ โดยปกติดอกจะเริ่มบานในเวลาบ่ายแล้วร่วงในวันรุ่งขึ้น มะลิจะให้ดอกมากในฤดูร้อนและฤดูฝนแล้วจะน้อยที่สุดในฤดูหนาว




1). มะลิลา เป็นไม้รอเลื้อย กิ่งอ่อนและกิ่งกึ่งแก่กึ่งอ่อนมีขน ใบเป็นใบเดียวออกเป็นคู่ตรงกันข้ามกัน ใบเป็นรูปไข่ขอบเรียบ ดอกออกเป็นช่อ มี 3 ดอก ดอกกลางบานก่อน กลีบดอกชั้นเดียว ปลายกลีบมน ดอกสีขาว มะลิชนิดนี้ จะใช้ในการเด็ดดอกขาย

2). มะลิลาซ้อน ลักษณะต้น ใบ อื่น ๆ คล้ายมะลิลา แต่ใบใหญ่กว่าดอกออกเป็นช่อ มี 3 ดอก และดอกกลางบานก่อน เช่นกัน แต่มีดอกซ้อน 3-4 ชั้น ปลายกลีบมน

3). มะลิถอด ลักษณะโดยทั่ว ๆ ไป ทั้งต้น ใบ การจัดเรียงของใบ รูปแบบของใบคล้ายมะลิลาซ้อน แต่ใบเป็นคลื่น ดอกเป็นช่อมี 3 ดอก ดอกซ้อนมากชั้นกว่า คือ 3-6 ชั้น ดอกสีขาว มีกลิ่นหอมมาก ขนาดดอก 2.5-3.5 ซม.

4). มะลิซ้อน ลักษณะทั่ว ๆ ไปคล้ายมะลิถอด และมะลิลาซ้อน แต่ใบมีลักษณะแคบกว่า ดอกออกเป็นช่อมี 3 ดอกเช่นกัน กลีบดอกซ้อน แต่ซ้อนกว่า 5 ชั้น แต่ละชั้นมีกลีบดอก 10 กลีบ ขึ้นไป ขนาดดอก 3-4 ซม. ดอกสีขาว กลิ่นหอมมาก

5). มะลิพิกุล หรือมะลิฉัตร ลักษณะต่าง ๆ คล้ายกับ 4 ชนิดแรก ใบคล้ายมะลิซ้อนและมีคลื่นเล็กน้อย ดอกเป็นช่อ 3 ดอก ดอกซ้อนเป็นชั้น ๆ เห็นได้ชัด (คล้ายฉัตร) และดอกมีขนาดเล็กพอ ๆ กับดอกพิกุล ขนาดดอก 1-1.4 ซม. ดอกสีขาว กลิ่นหอม

6). มะลิทะเล เป็นไม้รอเลื้อย ดอกเป็นกระจุก ๆ หนึ่ง มี 5-6 ดอก กลิ่นหอมฉุน

7). มะลิพวง ลำต้นเป็นไม้พุ่ม กิ่งอ่อนและกิ่งกึ่งแก่กึ่งอ่อนมีขนเห็นเด่นชัดเช่นกัน ใบและรูปแบบตลอดจนการจัดเรียง คล้ายมะลิอื่น ๆ แต่ใบมีขนเห็นเด่นชัด ดอกออกเป็นช่อแน่น สีขาวกลีบดอกชั้นเดียว กลีบเล็กยาว ปลายแหลม ขนาดดอก 3-4.5 ซม. มีกลิ่นหอมมาก

8). มะลิเลื้อย ลำต้นเลื้อยไปตามพื้นดินยาวประมาณ 1 ฟุต ใบเล็กกว่าพันธุ์อื่นมาก

9). มะลิวัลย์หรือมะลิป่า เป็นไม้เถาเลื้อย พาดต้นไม้อื่นหรือขึ้นร้าน ใบเล็กกว่าและยาวกว่ามะลิอื่น ๆ กลีบดอกเล็กยาว สีขาว กลิ่นหอมเย็นชืด

10). พุทธิชาติ เป็นไม้รอเลื้อย ใบเป็นใบเดี่ยวแต่ใบด้านล่างลดขนาดลงมากจนมีลักษณะคล้ายหูใบ ดอกเป็นช่อ ออกที่ปลายกิ่ง และข้างกิ่ง ดอกสีขาว ปลายกลีบมน ก้านดอกยาว

11). ปันหยี ต้นเป็นไม้เลื้อยเช่นเดียวกับมะลิวัลย์ ใบเดี่ยว การออกของใบเช่นเดียวกันแต่ใบมีขนาดใหญ่กว่า ใบเป็นมันสีเขียวเข้ม หนาและแข็ง ดอกเป็นดอกช่อ สีขาวกลีบดอกใหย่กว่ามะลิวัลย์ กลีบดอกกว้างและมน ดอกชั้นเดียว ขนาดดอก 4-4.5 ซม. กลิ่นไม่หอม

12). เครือไส้ไก่ เป็นไม้รอเลื้อย กิ่งอ่อนและกิ่งกึ่งแก่กึ่งอ่อนมีขน ใบเดี่ยว ปลายใบแหลม สีเขียวเข้มเป็นมัน ดอกออกเป็นช่อดอกกลางบานก่อน กลีบดอกขาว ชั้นเดียวปลายกลีบแหลม

13). อ้อยแสนสวย เป็นไม้เลื้อย กิ่งอ่อนสีม่วงแดง ไม่มีขน กิ่งแก่สีน้ำตาล ใบเดี่ยว ขนาดใหญ่ก้านใบสีม่วง ดอกออกเป็นช่อมี 8 ดอก ดอกกลางบานก่อน ก้านดอกยาว กลีบดอกขาว ชั้นเดียวปลายกลีบมน

14). มะลิเขี้ยวงู (มะลิก้านยาว) เป็นไม้เลื้อย แตกกิ่งก้านมาก ไม่มีขน ใบออกเป็นช่อคล้ายใบแก้ว แต่บางกว่า ดอกออกเป็นช่อมี 3 ดอก ก้านดอกเป็นหลอดสีแดงอมม่วง กลีบดอกขาว กลิ่นหอมจัด นอกจากนี้ยังมีมะลิอื่น ๆ อีกเช่น มะลิฝรั่ง, มะลิเถื่อน ฯลฯ แต่มะลิที่นิยมปลูกเป็นการค้าในปัจจุบัน ได้แก่ มะลิลา มีชื่อวิทยาศาสตร์ Jasminum sambac และที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นเรื่องของมะลิลา


มะลิลาพันธุ์ที่ส่งเสริมและนิยมปลูกมี 3 พันธุ์คือ


1). พันธุ์แม่กลอง

2). พันธุ์ราษฎร์บูรณะ

3). พันธุ์ชุมพร
ลักษณะที่แตกต่างกันของทั้ง 3 พันธุ์นี้คือ

การขยายพันธุ์ มะลิลาที่นิยมทำกันมากที่สุด คือ การปักชำ ซึ่งเป็นวิธีการที่ทำได้ง่ายสะดวกและรวดเร็ว นิยมทำเป็นเชิงการค้าซึ่งมีวิธีการทำได้ ดังนี้
1). วัสดุเพาะชำ ใช้ทรายผสมขี้เถ้าแกลบอัตราส่วน 1:1 บรรจุในตะกร้าพลาสติกที่เตรียมไว้ รดน้ำให้ชุ่ม

2). การเตรียมกิ่งพันธุ์ กิ่งที่ใช้จะเป็นกิ่งกึ่งแก่กึ่งอ่อน ตัดให้มีความยาวของกิ่งประมาณ 4 นิ้ว หรือมีข้ออย่างน้อย 3 ข้อ การตัดกิ่งควรจะตัดให้ชิดข้อ เหลือใบคู่บนสุด 1 คู่ ตัดใบออกให้เหลือเพียง ฝ ใบ เพื่อลดการคายน้ำ ถ้าต้องการเร่งรากควรใช้ฮอร์โมนช่วย โดยใช้ IBA (Indole Butyric Acid) และ NAA (Naphthalene Acetic Acid) ในอัตราส่วน 1:1 ความเข้มข้น 4,500 ppm นำกิ่งมะลิไปจุ่มในฮอร์โมนที่เตรียมไว้

3). การปักชำ นำกิ่งที่เตรียมไว้ ปักชำลงในภาชนะเพาะ ปักชำเรียงเป็นแถว แต่ละแถวห่างกัน 2 นิ้ว ระยะห่างระหว่างกิ่ง 2 นิ้ว รดน้ำ และยากันรา เช่น แคปแทนรักษาความชื้นให้สม่ำเสมอ ถ้าจะให้ดี ควรวางภาชนะไว้ในถุงพลาสติกขนาดใหญ่ รวบปากถุงให้สูงนำไปผูกไว้กับกิ่งหรือท่อนไม้ เพื่อยึดปากถุงมิให้กดทับกิ่ง นำไปวางไว้ในที่ร่ม หรือร่มรำไร กิ่งปักชำจะออกรากภายใน 3 อาทิตย์ ในกรณีที่ต้องการขยายพันธุ์เป็นการค้า ให้ปักชำในกะบะปักชำที่สร้างไว้ในร่มวัสดุปักชำที่ใช้อาจเป็นขี้เถ้าแกลบเพียงอย่างเดียว โดยใส่ลงในกะบะประมาณ 50 ซม. นำกิ่งปักชำแล้วคลุมด้วยพลาสติกให้มิดชิด ทิ้งไว้ 3 อาทิตย์ กิ่งมะลิ จะออกรากประมาณ 90%

4). หลังจากกิ่งปักชำออกรากแล้ว ให้นำไปเลี้ยงต่อในถุงขนาด 2 x 3 นิ้ว โดยใส่ดิน + ขุยมะพร้าว + ปุ๋ยคอก อัตรา 3:1:1 จนต้นมะลิแข็งแรงดี แล้วจึงนำไปปลูกต่อไป


การเตรียมดิน
เนื่องจากมะลิชอบดินร่วนซุย ระบายน้ำดี มีอินทรียวัตถุสูงและธาตุอาหารเพียงพอ การเตรียมดินควรไถพรวนแล้วใส่ปุ๋ยคอก ถ้าจะปลูกมะลิให้ได้ผลดี อายุยืนยาวควรจะขุดหลุมลึก กว้างและยาว ด้านละ 50 ซม. โดยใช้ระยะปลูก 1 x 1 เมตร ปรุงดินโดยใช้ดิน + ปุ๋ยคอก + และใบไม้ผุ อัตราส่วน 1:1:1 พร้อมกับเติมปุ๋ยสูตร 15-15-15 และ 0-46-0 (ซุปเปอร์ฟอสเฟต) อย่างละ 1 กำมือ คลุกเคล้าทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้วใส่กลับลงไปในหลุมใหม่

การดูแลรักษา

1). การให้น้ำ มะลิต้องการน้ำพอสมควร หากดินยังแฉะอยู่ไม่ควรรดน้ำ ควรรอจนกว่าดินจะแห้งหมาด ๆ เสียก่อน ทั้งนี้อาจให้น้ำวันละครั้งหรือสองวันครั้งถึงอาทิตย์ละครั้งก็ได้โดยให้ในตอนเช้า แต่ระวังอย่าให้น้ำท่วมหรือขังอยู่ในแปลงนาน ๆ เพราะจะทำให้มะลิใบเหลือง แคระแกรน และตายได้
2). การใส่ปุ๋ย ใส่ปุ๋ยสูตรเสมอ เช่น 15-15-15, 16-16-16 อัตราขึ้นอยู่กับขนาดของทรงพุ่มใส่เดือนละครั้ง โดยการหว่านและรดน้ำตามด้วย นอกจากนี้ยังใช้ปุ๋ยน้ำ เช่น ไบโฟลาน ผสมฉีดไปพร้อมกับสารเคมีด้วย แต่ไม่นิยมใช้ในฤดูหนาว



มะลิหากปลูกไปนาน ๆ จะแตกกิ่งก้านสาขามากมายควรจะตัดแต่งทรงพุ่มให้โปร่ง รวมทั้งตัดกิ่งแห้งและตายออกด้วย จะช่วยให้มะลิมีโรคและแมลงรบกวนน้อยลง อายุยืนยาวขึ้น ให้ดอกดกมากขึ้นพร้อมจะช่วยให้เกษตรกรสะดวกในการปฏิบัติงานด้วย



การเก็บดอก ดอกของมะลิที่จะเก็บขายได้ จะเก็บดอกที่อีก 1 วันจะบาน ดอกจะมีสีขาวเด่นชัดโดยปกติดอกกลางจะบานก่อนเก็บในช่วงเช้ามืดเวลาประมาณ 03.00 น.-06.00 น. แล้วจึงนำไปขายตลาดตอนเช้า



นิยมใช้ยากรัมม็อกโซนฉีดตามร่องปลูกทุกเดือน โดยไม่ให้โดนต้นมะลิ
โรคแมลงและการป้องกันกำจัด

1). โรครากเน่า เกิดจากเชื้อรา เป็นโรคร้ายแรงชนิดหนึ่งซึ่งจะเกิดกับมะลิที่มีอายุมากกว่า 1 ปี อาการ มะลิจะเหลือง เหี่ยว และทิ้งใบ เมื่อขุดต้นดูพบว่า รากเน่าเปื่อยและที่โคนมีเส้นใยสีขาว การป้องกันกำจัด ต้นที่เป็นโรคให้ถอนต้นและดินในหลุมไปเผาไฟ แล้วใช้ปูนขาวหรือสารเคมีพวกเทอราคลอผสมน้ำราดลงดิน

2). โรคแอนแทรคโนส เกิดจากเชื้อรา อาการ จะพบจุดสีน้ำตาลอ่อน บนใบขอบแผลเป็นสีน้ำตาลแก่เห็นเด่นชัด แผลจะขยายลุกลามออกไป และมีลักษณะเป็นวงซ้อนกัน เนื้อเยื่อของแผลแห้งกรอบตรงกลางแผลเวลาอากาศชื้น ๆ จะพบสปอร์เกิดเป็นหยดสีส้มอ่อน ๆ ขนาดแผลขยายใหญ่ไม่มีขอบเขตจำกัดจนดูเหมือนโรคใบแห้ง การป้องกันกำจัด ใช้ยาป้องกันกำจัดเชื้อราฉีดพ่น เช่น ดาโคนิล เบนเลท
3). โรครากปม เกิดจากไส้เดือนฝอย การเกิดโรคนี้จะพบได้เฉพาะในบางพื้นที่เท่านั้น ต้นที่เป็นโรคนี้จะแสดงอาการเด่นชัดทางใบคือใบจะมีสีเหลืองด่าง ๆ ทั่วไปทั้งใบคล้ายกับการแสดงอาการขาดธาตุอาหารเนื่องจากไส้เดือนฝอยจะไปอุดท่อน้ำท่ออาหารไว้เมื่อถอนต้นดูจะพบว่าที่รากมีปมเล็ก ๆ อยู่ทั่ว ๆ ไป ถ้าเฉือนปมนี้ดูจะพบถุงสีขาวเล็ก ๆ ขนาดเมล็ดผักกาดฝังอยู่ การป้องกันกำจัด ปลูกมะลิสลับกับพืชอื่น และใส่ปุ๋ยอินทรีย์มากขึ้น และใช้สารเคมีป้องกันกำจัด เช่น ฟูราดาน ไวเดท
4). หนอนเจาะดอก ลักษณะลำตัวสีเขียวขนาดเล็ก ปากหรือหัวดำ ระบาดมากในฤดูฝน โดยการ กัดกินดอกทำให้ดอกผิดรูปร่างไป เป็นแผล เป็นรู การป้องกันกำจัด ใช้สารเคมีป้องกันกำจัด เช่น แลนเนต โบลสตาร์ ฉีดพ่น
5). หนอนกินใบ จะระบาดมากในฤดูฝน โดยจะพับใบมะลิเข้าด้วยกัน แล้วซ่อนตัวอยู่ในนั้น และจะกัดกินทำลายใบไปด้วย การป้องกันกำจัด ใช้สารเคมีประเภทโมโนโครโตฟอส เช่น อโซดริน อัตรา 20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุก 4-6 วัน เมื่อมีการระบาด
6). หนอนเจาะลำต้น จะทำลายโดยการเจาะลำต้น ทำให้ต้นแห้งตาย อาการเริ่มแรกต้นจะมีใบเหลือง และหลุดร่วง ตรงบริเวณโคนต้นจะมีขุยไม้ที่เกิดจากการกัดกินของตัวหนอนกองอยู่เห็นได้ชัดเจน การป้องกันกำจัด ถ้าพบต้องรีบทำลายโดยทันที โดยการถอนต้นมะลิและทำลายตัวหนอนเสีย
7). เพลี้ยไฟ ดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบและดอก ทำให้ส่วนที่ถูกทำลาย หงิกงอ แคระแกรน เสียรูปทรง การป้องกันกำจัด ใช้สารเคมีฉีดพ่น เช่น พอสซ์ คูมูลัส


ราคาของดอกมะลิในช่วงฤดูหนาวจะแพงมากบางปีตกราลิตรละ 600-700 บาท (ปากคลอกตลาด) ส่วนฤดูร้อน เฉลี่ยราคาลิตรละ 30 บาท ตลาดของดอกมะลิตลาดใหญ่อยู่ที่ ตลาดปากคลองตลาด และร้านดอกไม้โดยทั่วไปตามท้องตลาด



เทคนิคการบังคับการออกดอกในฤดูหนาว มีการปฏิบัติดังนี้

1). การตัดแต่งกิ่ง
มะลิจะมีช่วงตั้งแต่เก็บดอกจนถึงตากิ่งเจริญให้ดอกใหม่อีกครั้งใช้เวลาประมาณ 6 สัปดาห์ เพราะฉะนั้นถ้าต้องการให้มะลิออกดอกในเดือนใดต้องนับย้อนหลังเวลาตัดแต่งกิ่งถอยหลังไป 6 สัปดาห์ และเมื่อต้องการให้มะลิออกดอกในฤดูหนาว (มค.-กพ.) เวลาที่เหมาะสมในการตัดแต่งกิ่งคือ เดือน สิงหาคม-กันยายน วิธีการตัดแต่งทำดังนี้
1.1) แบบที่เหลือกิ่งไว้กับต้นยาว โดยการตัดแต่งกิ่งออกเพียงเล็กน้อยให้เหลือกิ่งที่สมบูรณ์ไว้ วิธีนี้เหมาะกับมะลิที่มีอายุน้อย ๆ
1.2) แบบที่เหลือกิ่งไว้กับต้นสั้น โดยการตัดแต่งให้เหลือเพียง 3-4 กิ่งแต่ละกิ่งสูงประมาณ 1-1.5 ฟุต วิธีนี้เหมาะกับมะลิที่มีอายุ 2 ปีขึ้นไป
2). การใส่ปุ่ย
เมื่อตัดแต่งกิ่ง (สค.-กย.) แล้วต้องทำการให้น้ำและให้ปุ๋ยในเดือนกันยายนและตุลาคม โดยใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15, 16-16-16 อัตรา 30 กรัมต่อต้น และในเดือนพฤศจิกายน ฉีดพ่นด้วย ไทโอยูเรีย 1% อัตรา 200 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร มะลิจะเริ่มออกดอกหลังจากนี้ประมาณ 20 วัน และเก็บดอกต่อเนื่องไปอีก 1 เดือน


ข้อมูลจาก สำนักบริการคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์










Apr 30, 2008

การเพาะเห็ดเข็มเงินหรือเห็ดเข็มทอง
















เห็ดเข็มเงินหรือเห็ดเข็มทอง

ดํ าเกิง ปองพาล และปรีชา รัตนัง สาขาพืชผัก ภาควิชาพืชสวน
คณะผลิตกรรมการเกษตรมหาวิทยาลัยแมโจ


เห็ดเข็มเงินหรือเข็มทอง อยูในตระกูลเดียวกัน แตเดิมนั้นเกิด
ขึ้นเองบนตอ
ไมผุ ในปา ตอมาไดนํ ามาเพาะเลี้ยงและพัฒนา
การเพาะเลี้ยงมาเรื่อย ๆ
ถือเปนเห็ดที่มีความสํ าคัญทางเศรษฐกิจ
อีกชนิดหนึ่ง เห็ดเข็มเงิน หรือ
เข็มทองมีลักษณะทางสัณฐาน
วิทยาแตกตางกันเล็กนอย แตมีคุณคาทาง
โภชนาการเหมือนกัน
ทุกประการ ซึ่งประกอบดวย โปรตีน ไขมัน เยื่อใย และสวนที่เปน
เถารอยละ 31.2, 5.8, 3.3 และ 7.6 ตามลํ าดับลักษณะของ

ดอกเห็ด ทั้งหมวกดอก กานดอกเหมือนเข็มหมุด ยาวเรียวมี
ความกรอบสูง เปนเห็ดที่เจริญไดดีในสภาพ อากาศเย็น เชน
เดียวกับเห็ด แชมปญอง และเห็ดหอม





การจํ าแนกเห็ดเข็มทอง


ชื่อวิทยาศาสตร Flammulina velutipes Karst.

ชื่อสามัญ เห็ดเข็มเงิน เห็ดเข็มทอง
(Golden needle
mushroom, Velvet stem collybia,
Velvet agaric, Winte
r mushroom, Enoki)
Subdivision Basidiomycotina
Class Hymenomycetes
Subclass Holobasidiomycetidae
Order Agaricales (Agarics)
Family Trichlomataceae
Genus Flammulina
Specie velutipes


อัจฉราและสุภาวดี(2535) รายงานวา กองโรคพืชและจุลชีววิทยา
กรมวิชาการเกษตร โดยอาจารย
ดารา พวงสุวรรณ อดีตผูเชี่ยวชาญ
พิเศษกรมวิชาการเกษตรซึ่งไดเดินทางไปดูงา
การเพาะเลี้ยงเห็ด
เข็มเงิน
ที่ประเทศญี่ปุน เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2534 พรอมกับนําเ
ชื้อพันธุเห็ดเข็มเงินเขามา ไดดํ าเนินการ
เพาะ เลี้ยง ณ กองโรคพืช
และจุลชีววิทยากรมวิชาการเกษตร ผลการทดลองมีแนวโนมที่มี
ความเปนไปไดที่จะ
เพาะเลี้ยงเห็ดชนิดนี้ ไดในประเทศไทยหาก
ไดมีการพัฒนาวิธีการเพาะและหองเพาะเลี้ยง ใหมีสภาพ
เหมาะ
สมคุมคากับการลงทุน




ขอแตกตางของเห็ดเข็ม
เงินและเข็มทอง

เห็ดเข็มเงิน มีกานดอกและหมวกดอกสีขาว เปนเห็ดที่นิยม
รับ
ประทานกันมานาน หลายศตวรรษ โดยประเทศญี่ปุนได
พัฒนาการเพาะเลี้ยง
จากขอนไมมาเพาะลง ในถุงอาหารขี้
เลื่อย จนกลายเปนเห็ดเศรษฐกิจที่รูจักกันดี
ในปจจุบัน


เห็ดเข็มทอง


เปนเห็ดตระกูลเดียวกันกับเห็ดเข็มเงิน มีกานดอกและหมวก
ดอกสีเหลืองทอง สวน
บริเวณ โคนกานมีสีนํ้ าตาลดํ า นิยม
เพาะเลี้ยงในประเทศจีนเพื่อสกัดเปน
เครื่องดื่มบํารุงสุขภาพ
ขั้นตอนการเพาะเลี้ยงเห็ดใหไดผลผลิต


1. การแยกเชื้อ เชื้อเห็ดเข็มเงิน สายพันธุที่นํ ามาศึกษานี้นํ า
เขามาจากประเทศญี่ปุน ในรูปกอน
เชื้อบรรจุ ในขวดพลาสติก
ทํ าการแยกเชื้อบริสุทธิ์และศึกษาลักษณะทางชีววิทยาเบื้อง
ตนไว แมเชื้อเห็ดเข็ม
เงินใน อาหารวุน พี ดี เอ เจริญเต็มจาก
แกวขนาด 9 เซนติเมตร ภายในเวลา 10 วัน ขยายตอลงใน
เมล็ดขาว
ฟาง ซึ่งเสนใยเมล็ดเห็ดเข็มเงินเจริญเต็มเมล็ดฟาง
ขาว 100 กรัม ในเวลา 12 วัน



2. การเตรียมอาหาร วัสดุที่ใชผสมเปนอาหารเพาะเลี้ยงเห็ด
เข็มเงิน ประกอบดวย


- ขี้เลื่อยไมยางพารา 75 กิโลกรัม


- รํ าละเอียด 20 กิโลกรัม


- ขาวโพดบด 5 กิโลกรัม

- นํ้ า 60 กิโลกรัม


วัสดุทั้งหมดนี้นํ ามาคลุกใหเขากันอยางดี จะมีความชื้น 60-65 %
นําอาหารที่เตรียมแลวนี้ไปบรรจุ
ในถุงพลาสติกทนรอน ขนาด
7 x 12 นิ้ว อาจบรรจุในพลาสติกไดอัดใหแนนจะไดปริมาณ
อาหารถุงละ 600
กรัม (วิธีบรรจุ เชนเดียวกับการเตรียมถุงอาหาร
เห็ดโดยทั่วไป) ใสคอขวด ปดจุกสํ าลี


3. การนึ่งอาหาร ถุงอาหารขี้เลื่อยผสมที่เตรียมไวแลวนี้ นํ าไป
ผานการฆาเชื้อ โดยนึ่งในหมอนึ่ง
ไมอัดความดัน อุณหภูมิประมาณ
100 o ซ เปนเวลา 3 ชั่วโมง
หรือนึ่งดวยหมอนึ่งอัดความดัน
อุณหภูมิ
ประมาณ 121 o ซ เปนเวลา 1-2 ชั่วโมง


4. การใสเชื้อเห็ดเข็มเงิน ถุงอาหารขี้เลื่อยผสม ซึ่งผานการนึ่งแลว
ทิ้งไวใหเย็นลง นํ ามาใสเชื้อ
เห็ดเข็มเงิน ที่เจริญในเมล็ดขาวฟาง
ถุงละ 15-20 เมล็ด


5. การบม นําถุงขี้เลื่อยซึ่งใสเชื้อเห็ดเข็มเงินแลว ไปบมในหอง
อุณหภูมิประมาณ 20-21 o ซ



การปฏิบัติในระยะใหผลผลิต


• เมื่อเสนใยเห็ดเข็มเงินเจริญเต็มถุง ยายถุงเพาะเลี้ยงไปยังหอง
เปดดอก อุณหภูมิ 13-15 o ซ
ความชื้นสัมพัทธ 80-85 % เปด
จุกสํ าลีออก

• เมื่อเกิดดอกเล็ก ๆใหแสงและถอดคอขวดออก ปลอยใหดอก
สูงประมาณ 2-3 เซนติเมตรจึงใช
มวนกระดาษสวมครอบถุงเห็ด
กานดอกจะชูหาแสงสวางทําใหกานยาวและหมวกดอกโตอยาง
สมบูรณ ชวง
นี้ปรับอุณหภูมิใหสูงขึ้นเปน 16-18 o ซ


การเก็บดอกเห็ด


กานดอกเห็ดยาวประมาณ 9-14 เซนติเมตร หมวกดอกจะมี
ขนาด 1-2 เซนติเมตร เก็บดอก โดย
ดึงกลุมดอกเห็ดทั้งหมด
ดอกเข็มเงินเก็บรักษา ไวในตูเย็นไดไมนอย
กวา 7 วัน โดยยัง
คงความสดของดอกและสีไม เปลี่ยนแปลงไปจาก
เดิม



การเพาะเลี้ยงเห็ดเข็มเงิน เข็มทอง สามารถสรุปเปนระยะ
การเจริญเติบโตในระยะเวลา(จํ านวนวัน) ออกเปนตาราง
รวมทั้งผล
ผลิตที่จะไดรับตอกอนเชื้อเห็ดหนัก 600 กรัม
ดังรายละเอียดในตา
รางที่1



ตารางที่ 1
การเจริญเติบโตระยะตาง ๆของเห็ดเข็มเงิน



หมายเหตุ

ระยะสรางตุมดอกจนถึงเก็บเกี่ยวผลผลิตใชเวลา 25-28 วัน และ
อาจไดผลผลิตสูงถึง 150-200
กรัม/ขวด (ถุง) (สํ าเภา 2539)


อนาคตตลาดเห็ดเข็มเงินในประเทศไทย

เห็ดเข็มเงินเปนเห็ดเศรษฐกิจ ของประเทศญี่ปุน ไตหวัน
เกาหลี ฯลฯ นําเขามาขายในประเทศไทย
ในราคากิโลกรัม
ละหลายรอยบาท เพราะตองขนสงทางเครื่องบิน ซึ่งราคา
ซื้อขายในประเทศญี่ปุนไมตํ่ า กวา
กิโลกรัมละ 200 - 300
บาท
ฉะนั้นหากจะมีการเพาะเลี้ยงในประเทศไทยควรจะเพาะ
เลี้ยงไดในบริเวณพื้นที่สูงทางภาคเหนือ
ชวงอากาศหนาวเย็น หรือเพาะเลี้ยงไดทั่วไปในสภาพหองควบคุมอุณหภูมิที่เห็ด
ชนิดนี้ตองการเพื่อการสราง
ดอกเห็ดและหากมีการพัฒนาหอง
เพาะเลี้ยงใหคุมคาการลงทุนหรือปรับปรุงสายพันธุเห็ดเข็ม
เงินให
สามารถเพาะไดในอุณหภูมิสูงขึ้นแลวในอนาคตเรา
คงจะมีโอกาสไดรับประทานเห็ดชนิดนี้กันมากขึ้น ใน
ราคา
ถูกลง


----------------------------------------------------

เอกสารอางอิง

ประเสริฐ สองเมือง 2540. เห็ดเข็มเงินที่คนญี่ปุนชอบรับประทาน.
น.ส.พ. กสิกร.70(2) : 178-174

สํ าเภา ภัทรเกษวิทย. การเพาะเห็ดเข็มทองแบบอุตสาหกรรม,
น. 155 – 118. ในเห็ดไทย 2539.

ชมรมถายทอดเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.
กรุงเทพฯ.

อัจฉรา พยัพพานนท และ สุภาวดี อัตชู. 2535. เห็ดเข็มเงิน,
น.ส.พ. กสิกร. 69 (6) : 715 - 718