Showing posts with label ธรรมะสอนใจ. Show all posts
Showing posts with label ธรรมะสอนใจ. Show all posts

May 29, 2011

อยู่อย่างไม่เป็นทุกข์

Credit : Kittipan Silpprasith &  ธรรมะสวัสดี


May 23, 2011

ห้องที่ ชื่อว่า " ใจ "



ใจ   ของเรานั้น ไม่ ต่าง อะไรกับห้องที่ว่างเปล่า  
เมื่อ เราใส่อะไรเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่านั้น   
สถานภาพของห้องก็จะเปลี่ยนไปทันที เป็นต้นว่า   

เรามีห้องว่าง เปล่า อยู่ห้องหนึ่ง 
  
เมื่อ - -   
เราใส่น้ำเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องน้ำ   
เราใส่พระพุทธรูปเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องพระ  
เราใส่เครื่องมือปรุงอาหารเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องครัว   
เราใส่เครื่องนอนเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องนอน  
เราใส่ชุดรับแขกเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องรับแขก   
เราใส่บุคคลสำคัญเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องวีไอพี   
ห้องแห่งหัวใจของเรา   
ก็ไม่ต่างอะไรกับห้องว่างเปล่าที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเลย   
ทุกครั้งที่เราบรรจุอะไรเข้าไปในใจ   
ใจของเรา ก็จะเปลี่ยนสถานภาพเหมือนกัน   
เราใส่ความ เมตตาเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจดี  
เราใส่ธรรมะเข้า ไป ก็จะกลายเป็นคนใจบุญ   
เราใส่ความโกรธเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจร้อน   
เราใส่ความเลวเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจทราม   
เราใส่ความกลัว เข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจเสาะ   
เราใส่ความเป็นนัก สู้เข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจสู้   
เราใส่ความขาดสติ เข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจลอย   
  

เห็นด้วยหรือไม่ว่า   
ใจ ของ เรานั้นเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลเหนือกาย   
เป็นสิ่งที่คอยออกแบบชีวิตของเราให้เป็นไปอย่างไรก็ได้   
พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า   
ใจเป็นนาย ใจเป็นผู้นำ ใจเป็นผู้สร้างสรรค์   ...  
หรือบางทีก็ตรัสว่า จิตฺเตน นียติ โลโก   
แปล ว่า โลกหมุนไปตามใจสั่งการ   

โลกในที่นี้ หมายถึง ชีวิตของเรานั่นเอง   
โลก คือ ชีวิต จะหมุนซ้าย หมุนขวา หมุนตรงหรือหมุนเอียง หมุนไปข้างหน้า หรือว่าหมุนไปข้างหลัง  
ทั้งหลายทั้งปวงนั้นขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของใจทั้งหมดทั้งสิ้น   
ใจของเราไม่ต่างอะไรกับห้องที่ว่างเปล่า   
เรา บรรจุ อะไรลงไป   
ชีวิตของเราก็เป็นไปตามสิ่งที่บรรจุนั้น   
ทุกวันนี้ เราเคยถามตัวเองบ้างไหมว่า เราบรรจุ อะไร ลงไปในห้องแห่งหัวใจของเราบ้าง   

ความ รู้ ความงมงาย 
  
ความรัก ความโกรธ ความเกลียด   
ความ โลภ ความดี ความชั่ว   
ความริษยา ความหน้าด้าน ความสะอาด   
สว่าง สงบ หรือความตื่นรู้   
ชีวิตจะเป็นอย่างไร รุ่งโรจน์ หรือร่วงโรย   
ขึ้นสูงหรือลงต่ำ สำคัญ ที่ เราบรรจุอะไรลงไปในใจของเราเอง   ...   
  

  

  ว.วชิรเมธี     

May 14, 2011

ยิ่งรวยจะยิ่งหยาบคาย






ยิ่งรวยจะยิ่งหยาบคาย



เขียนโดย ศ.ดร. วรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

จาก เว็บ varakorn.com


สิ่งที่เป็นลบเบื้องต้นเกี่ยวกับความมีเงิน นอกจาก “ความงก” มากขึ้นแล้ว ก็คือ ภาระความรับผิดชอบในการรักษาเงินทองที่มีอยู่และให้มันงอกเงยขึ้น

ส่วนที่เป็นลบอีกประการหนึ่ง ก็คือ ความหยิ่งผยอง ความหยาบคาย ไม่ง้อไม่สนใจใคร

เมื่อมีเงินทองมากขึ้น ลักษณะที่เป็นลบเช่นนี้จะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ดังนั้นจึงต้องระวังตนเองเป็นพิเศษ

ศาสตราจารย์ทางจิตวิทยา คือ Dr. Dacher Keltner ที่ Berkeley (ชื่อเต็ม คือ The University of California at Berkeley) ทำการทดลองโดยการอัดวีดีโอ ภาพนักศึกษามหาวิทยาลัยกว่า 100 คน ที่ไม่รู้จักกัน มารวมกันไว้ในห้องหนึ่งโดยไม่ให้รู้ตัว

เขาแบ่งนักศึกษาเหล่านี้ออกเป็น 2 กลุ่มๆ หนึ่งมาจากครอบครัวที่มีฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจดี และอีกกลุ่มหนึ่งมาจากครอบครัวที่มีฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจที่ไม่ดี

สิ่งที่เขาพบ ยืนยันความเชื่อของเขาที่ว่า “คนยิ่งรวย ยิ่งหยาบคาย”




อาจารย์ท่านนี้พบว่า ในกลุ่มครอบครัวรวย มีทางโน้มที่จะ “หยาบคาย” ในระหว่างความเงียบในห้อง กล่าวคือ ต่างคนจะต่างนั่งทำอะไรของตนเอง เช่น หวีผม ทาแป้งทาปาก ฯลฯ โดยไม่มอง หรือทักทายกัน หรือแสดงท่าทางว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ คือสัญญาณของ “ความหยาบคาย”

สำหรับกลุ่มที่ไม่รวย นักศึกษาจะมีทีท่าสนใจซึ่งกันและกันมากกว่า มีการหัวเราะหรือยักคิ้ว มีท่าทางแสดงยอมรับการมีคนอื่นอยู่ในห้อง โดยสรุปก็คือมี ลักษณะของ “ความสุภาพ” มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด

Professor Keltner สรุปว่า ผลจากการทดลองยืนยันพฤติกรรมพื้นฐานของสัตว์โดยทั่วไป กล่าวคือ สัตว์ที่ยิ่งอยู่บนวงจรอาหารที่สูง คือมีความแข็งแรงกว่า ต่อสู้กับโลกได้ดีกว่า จะมีท่าทีไม่สนใจสัตว์ที่อยู่ในวงจรอาหารที่ต่ำกว่า สัตว์ใหญ่ที่กินสัตว์เล็กกว่าเป็นอาหาร ไม่ง้อหรือแคร์สัตว์ที่เล็กกว่า ในขณะสัตว์ที่อยู่ในส่วนล่างของวงจร จะแคร์สัตว์ใหญ่ เพราะการอยู่รอดของตน ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของสัตว์ที่ใหญ่กว่า



สำหรับมนุษย์นั้น Professor Keltner เชื่อว่า ประสบการณ์จากความมีเงินทำให้คนมีเงินลดความใส่ใจคนจนกว่าเนื่องจากไม่ต้องพึ่งพา ไม่ต้องคิดถึงหัวอก เพราะมีความเป็นไปได้น้อยที่จะต้องขอความช่วยเหลือในวันหน้

ในขณะที่สถานการณ์ตรงกันข้ามเกิดกับคนที่จนกว่า ความไม่แน่นอนที่อาจต้องพึ่งพิงคนรวยกว่าในอนาคต ทำให้เขาต้องใส่ใจคนอื่นๆ ซึ่งกระบวนนี้ทำให้เขาเป็นคนสุภาพโดยไม่ตั้งใจ




ความจริงข้อนี้ เป็นสิ่งน่าพึงสำเหนียกสำหรับคนมีเงินหรือคนพอมีเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เพิ่งเปลี่ยนสถานะขึ้นมา

ถึงแม้จะไม่ตั้งใจ “หยาบคาย” แต่ก็อาจกระทำสิ่ง “หยาบคาย” ไปโดยไม่รู้ตัว เพราะธรรมชาติของสิ่งที่กล่าวมาแล้ว ยิ่งรวยขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งต้องระวังตัวมากขึ้นเพียงนั้น ตราบที่ยังต้องการเป็นคนที่รักของเพื่อน ของญาติ ของลูกน้องอยู่ อย่าลืมว่าจะยิ่งถูกจับตามองจากคนรอบข้างมากเป็นพิเศษ




เมื่อรวยขึ้น หากไม่พยายามฝืนความเป็นลบ อันเกิดจากความรวยที่เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติแล้ว โดยเผลอปล่อยให้มันเป็นไปตามเส้นทางของธรรมชาติ ท่านอาจถูกเกลียดชังโดยตนเองไม่เข้าใจก็เป็นได้

คงจะไม่มีอะไรน่าเศร้าไปกว่า เมื่อมีเงินแล้วกลับถูกเกลียดชังมากขึ้น ขาดเพื่อนที่จริงใจ จะมีก็แต่ความสุขกายที่เงินทองหาซื้อให้ได้ แต่ไม่มีความสุขใจ




การรวยขึ้นไม่จำเป็นว่า จะทำให้มีความสุขซึ่งประกอบด้วยความสุขกายและความสุขใจมากขึ้นเสมอไป เพราะความสุขกายนั้นเป็นองค์ประกอบของความสุขที่เป็นส่วนเล็กกว่าความสุขใจ




ธรรมสวัสดี



ร่มไม้เย็น ค่ะ

Apr 21, 2011

หลักคำสอน....คติเตือนใจคำคมโดยท่าน ว.วชิรเมธี



มีภาพที่เลือกไว้แล้ว แล้วก็มีธรรมะดีๆที่ให้แง่คิดที่งดงามกับชีวิตเลยคิดว่าถ้ามีภาพพอให้พักสายตาขณะอ่านธรรมะก็จะทำให้จิตใจค่อยซึมซับธรรมะเข้าไปได้อย่างที่เราอาจไม่รู้ตัวก็ได้ ^^

อิกคิว 

ภาพประกอบ






1. คนธรรมดาทำบุญก็อยากได้บุญ คนมีปัญญาทำบุญหวังจะเกิดในภพใหม่ที่ดีกว่าเดิม แต่ชาวพุทธแท้ทำบุญเพื่อการปล่อยวางกิเลสอย่างสิ้นเชิง

2. สิ่งที่ตาเห็นอย่าเพิ่งสรุปว่ามี สิ่งที่คนยอมรับว่าดีอย่าเพิ่งบอกว่าเห็นด้วย

3. ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี




4. นักปราชญ์ตะวันตกกล่าวว่า อำนาจทำให้คนเสีย ยิ่งมีอำนาจเบ็ดเสร็จยิ่งเสียคนแบบเบ็ดเสร็จ

5. ดาบที่ดีต้องมีฝัก ความสามารถที่ดีต้องมีจริยธรรม

6. พ่อแม่ที่ดีต้องมีพรหมวิหาร 4 หน้า หน้า 1 เมตตา หน้า 2 คือ กรุณา หน้า 3 คือ มุทิตา หน้า 4 คือ อุเบกขา




7. ยามปกติเลี้ยงลูกด้วยเมตตา ยามมีปัญหาคอยช่วยเหลือด้วยกรุณา ยามลูกทำดีคอยส่งเสริมด้วยมุทิตา ยามลูกทำผิดปล่อยให้รับกรรมด้วยตัวเอง คือ อุเบกขา

8. รอยเท้าแรกที่เหยียบบนดวงจันทร์ไม่ใช่รอยเท้าของมนุษย์ แต่เป็นรอยเท้าแห่งจินตนาการ

9. การแก้กรรมคือการแก้ที่ความหลงผิด การแก้กรรมคือการเลิกทำความชั่ว ดังนั้นการแก้กรรมจึงไม่ใช่สำเร็จที่การสะเดาะเคราะห์หรือทำพิธีจากเกจิ



10. คนที่รู้เรื่องกรรมดีที่สุดคือตัวเราเอง คนที่แก้กรรมได้ดี่ที่สุดคือตัวของเรา การแก้กรรมต้องทำด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรม ไม่ใช่ด้วยพิธีกรรมแปลกๆ

11. คนขุดบ่อน้ำก็ลงต่ำอยู่ในดิน คนก่อกำแพงก็ขึ้นสูงตามกำแพงที่ก่อ ฉันนี้ฉันใดคนทั้งหลายก้เป็นเช่นนั้น จะสูงจะต่ำขึ้นอยู่กับการกระทำของตน

12. คนฉลาดชอบแกล้งโง่ คนโง่ชอบเสแสร้งว่าฉลาด ส่วนนักปราชญ์เรียนรู้ที่จะฉลาดและเรียนรู้ที่จะโง่




13. กฎแห่งกรรมไม่ต้องืวีซ่า กฎแห่งกรรมไม่ยกเว้นหน้าอินทร์หน้าพรหม กฎแห่งกรรมไม่มีวันหยุด กฎแห่งกรรมเที่ยงธรรมตลอดกาล

14. บิล เกตต์ เรียนไม่จบแต่พบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เพราะเป็นคนใฝ่เรียนรู้ด้วยตนเอง ปัญญาไม่ได้อยู่ในมหาวิทยาลัยแต่อยู่ในจิตใจที่ใฝ่รู้

15. อย่ายึดติดกับความหลัง อย่าฟังเสียงปาปมิตร (มิตรชั่ว) อย่ามัวคิดริษยา อย่าเสียเวลากับคนเลวทราม




16. คนส่วนใหญ่เรียกร้องสิทธิมนุษยชน แต่คนมีปัญญาเรียกร้องสิทธิที่จะไม่ทุกข์

17. ความไม่รู้เป็นยอดแห่งมลทิน ปัญญาเป็นยอดแห่งสิริมงคลความถ่อมตนเป็นยอดแห่งเสน่ห์

18. รถทุกคันล้วนมีเบรก รถทุกคันล้วนมีท่อไอเสีย คนทุกคนต้องมีเบรกคือสติ ต้องมีท่อไอเสียคือการปล่อยวาง




19. ความทุกข์ไม่เคยยึดติดเรา มีแต่เราต่างหากที่ยึดติดความทุกข์ ความสุขไม่เคยไปจากใจเรา มีแต่เราต่างหากที่ไม่เคยถนอมมันไว้ในใจของเรา

20. ยศ ทรัพย์ อำนาจเป็นเพียงมรรควิธีที่ทำให้ชีวิตนี้มีประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ โปรดอย่าเข้าใจผิดว่าเป็นเป้าหมายในการเกิดเป็นมนุ๋ย์

21. ทำผิดแล้วรู้สึกผิดต่อไปจะเป็นคนดี ทำผิดแล้วรู้สึกว่าเป็นความดีกาลกิณีจะเกิดขึ้นในไม่ช้า




22. ที่สุดของความรักคือรักโดยไม่ครอบครอง ที่สุดของการให้คือให้โดยไม่หวังผล ที่สุดของทานคืออภัยทาน ที่สุดของคนคือการเป็นคนธรรมดาที่มีความสุข

23. ความรักไม่เคยทำให้ใครทุกข์ การไม่รู้จักธรรมชาติของความรักต่างหากที่ทำให้เกิดทุกข์ ธรรมชาติของความรักคือเกิดขึ้นในเบื้องต้น ดำรงอยู่ในท่ามกลาง และแตกดับไปในที่สุด

24. โลกนี้มีผี 6 ตัวที่น่ากลัวกว่าผีไหนๆ 1 ผีสุรา 2ผีเที่ยวกลางคืน 3. ผีมหรสพ (ติดใจในความบันเทิงจนเกินพอดี) 4 ผีการพนัน 5 ผีคบคนชั่วเป็นมิตร (คนชั่วอยู่ไหนชอบเถลไถลไปสนิทสนม) 6 ผีขี้เกียจ ผี 6 ตัวนี้ต้องปราบด้วยปฏิบัติธรรม







Thank you : Fw.Mails (Dong) & ธรรมะสวัสดี


อุปสรรคของชีวิต

เมื่อชีวิตเผชิญอุปสรรค
ต้องรู้จักว่านั่นเป็นธรรมดาของชีวิต
อย่าหวั่นไหว เมื่อเจออุปสรรค
เพราะอุปสรรคช่วยสร้างประสิทธิภาพ

ปัจจัยของความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจ
ไม่มีอะไรเกินกว่าอุปสรรค
ผู้ที่ไม่เคยต่อสู้กับอุปสรรค
ไฉนจะรู้จักความสามารถที่แท้จริงของตนได้

ก้อนหินน้อยขวางทางข้ามได้ก็ข้ามไป
ก้อนหินใหญ่ขวางทางเขยื้อนได้เขยื้อนไป
ภูเขาใหญ่ขวางทาง ถ้าต้องไปก็อ้อมไป
ผู้ที่สู้กับอุปสรรคที่ต้องหลีก
และผู้ท้อแท้ต่ออุปสรรคที่ต้องสู้
คือผู้หันหลังให้กับความจริง
และปิดหนทางแห่งความชอบธรรมเสียสิ้น

ที่เรามีปัญหา
แล้วเป็นทุกข์
ก็เพราะเรา
มัวคิดว่ามันเป็นปัญหา
มากกว่าคิดถึงการลงมือแก้ไข
Thank you : Fw.Mails & ธรรมะสวัสดี



Sep 7, 2009

หลวงพ่อตอบปัญหาเรื่องเงินไม่พอใช้



มีคนรู้จักบางคนที่มีเงินเดือนมาก แต่ว่าพอใกล้สิ้นเดือนทีไร มักจะบอกว่าเงินเดือนไม่ค่อยพอใช้ อยากขอความเมตตาจากพระ
เดชพระคุณหลวงพ่อแนะนำวิธีการใช้เงินให้กับเขาด้วยค่ะ
ปัญหาเรื่องเงินไม่พอใช้ เงินเดือนมากก็ยังไม่พอใช้ ลูกเอ๊ย ถ้าไม่รู้จักใช้ เท่าไรมันก็ไม่พอ อย่าว่าแต่ทำเงินเดือนใช้เลย
ยกโรงกษาปณ์ มาให้เราพิมพ์แบงก์ ปั๊มแบงก์เอง พิมพ์เหรียญ ปั๊มเหรียญเอง ถ้าไม่รู้จักใช้ละก็ โรงกษาปณ์ก็ยังเจ๊งเลย



ปู่ ย่าตาทวดเคยสอนเอาไว้ในเรื่องการของใช้เงิน เรื่องหาเงินไม่ต้องพูดกันละ เพราะว่ายังไงๆ ถ้ามันได้น้อยละก็ โอกาสจะไม่พอใช้ มันก็เป็นไปได้อยู่แล้ว แต่ว่าที่เท่าไรๆ ก็ไม่พอใช้นี่ โรคประเภทนี้ต้องแก้ไขด้วยตะพดเสียละมั้ง ปู่ย่าตาทวดสอนไว้ว่า จะกินจะใช้อะไร

ประการ แรก ท่านว่าเอาไว้ จะกินจะใช้อะไร ท่านก็บอกว่าให้กินตอนหิว อย่าไปกินตอนอยาก เพราะว่าถ้าจะไปกินตอนอยากละก็ มันก็อยากอยู่เรื่อย ถ้าไปกินตอนหิวละก็ มันจำเป็น มันจะต้องกิน พูดง่ายๆ หลักการตรงนี้ก็คือต้องแยกให้ออกนะลูกนะ need กับ
want คือ ความอยากกับความจำเป็นนี่

ต้องแยกให้ออก ความอยากไม่ใช่ความจำเป็น ความจำเป็นไม่ใช่ความอยาก แต่ว่าคนส่วนมากพออยากได้อะไรขึ้นมา
อยากกินอะไรขึ้นมา เกิดความรู้สึกว่านี่คือจำเป็น ตรงนี้แหละที่ทำให้ได้เท่าไรก็ไม่พอใช้ ก็พิจารณาตัวเองให้ดี นี่ข้อแรก
คนที่จะบริหารเงินได้ดีละก็ แยกให้ออกนะ need กับ want นี่เป็นประการแรกถ้าแยกตรงนี้ออกชนะไปตั้งครึ่งค่อนแล้ว

ต้องแยกให้ออก ความอยากไม่ใช่ความจำเป็น ความจำเป็นไม่ใช่ความอยาก แต่ว่าคนส่วนมากพออยากได้
อะไรขึ้นมาอยากกินอะไรขึ้นมา เกิดความรู้สึกว่านี่คือจำเป็น ตรงนี้แหละที่ทำให้ได้เท่าไรกไม่พอใช้ ก็พิจารณาตัวเองให้ดี


การ เก็บหรือการเหลือเอาไว้ มีอยู่ ๒ อย่าง คือ เก็บส่วนหยาบกับเก็บส่วนละเอียด เก็บส่วนหยาบก็อย่างที่ว่าเมื่อกี้นี้ คือเอาส่วนเหลือไปฝากไว้ในธนาคาร คราวป่วย คราวไข้ ก็จะได้มีใช้ แต่เก็บอีกอย่างคือ เก็บละเอียด เปลี่ยนทรัพย์นั้นให้เป็นบุญ รู้จักฝากธนาคารบุญ ไปทำบุญทำทาน วัดวาอาราม สาธารณกุศลต่างๆ เปลี่ยนทรัพย์หยาบ ให้เป็นละเอียด ทรัพย์ละเอียดนี้จะติดตัวเราไปข้ามภพข้ามชาติได้ โจรก็ปล้นไม่ได้ ใครก็โกงไม่ได้
ไฟก็ไม่ไหม้ น้ำก็ไม่ท่วม

ประการที่ ๒. ในการบริหารเงิน ปู่ย่าตาทวด ก็พูดชัดดี โยมแม่ของหลวงพ่อเคยสอนหลวงพ่อ เอาไว้ ท่านบอกว่าเงินทอง
ได้มาอย่าไปบริหารด้วยรายรับรายจ่าย แต่ให้บริหารด้วยรายเหลือ คือ คนส่วนมากคิดว่าได้มากมันควรจะเหลือมาก
ได้น้อย มันก็เหลือน้อย หรือไม่พอใช้ นี่มองเรื่องนี้ว่าเป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติ ต้องอย่างนี้

โยมแม่ของหลวงพ่อท่านเคยอุปมาเอาไว้ ท่านบอกว่าเข่งใบใหญ่ๆ ชะลอมใบโตๆ เวลาจ้วงตักน้ำลงไป เมื่อเข่งหรือชะลอม
ยังอยู่ในน้ำ น้ำก็เต็มเข่งเต็มชะลอม แต่พอยกขึ้นมาแล้วมันเหลือแต่เข่งเหลือแต่ชะลอม ไม่ติดน้ำหรอก หรือติดมา ๒-๓ หยด แต่กะลาใบเล็กๆขันใบเล็กๆ จ้วงลงไป มันก็ไม่เท่าไรหรอก แต่ว่ายกมามันก็ยังเต็มขัน เต็มกะลา

เพราะฉะนั้น เวลาจะบริหารเงิน จะใช้เงิน โยมแม่ก็เลยบอกหลวงพ่อว่า (ตอนนั้นยังไม่ได้บวช) ได้เท่าไรไม่สำคัญ
สำคัญว่าเหลือเท่าไรเพราะฉะนั้นก่อนจะใช้เงิน รีบถามตัวเองว่าเดือนนี้อยากจะให้เหลือเท่าไร ก็ตัดเอาตัวนั้นออก
มาเสียเลย เก็บเสียเลย จะเก็บธนาคาร หรือจะเก็บในรูปไหนก็ตามที เก็บมันไว้ เหลือนอกนั้นอาจจะไปใช้อะไรก็ไม่ว่า อย่างนี้คือบริหารด้วยรายเหลือ

ถ้า ลูกมองออกว่า need กับ want มันต่างกันตรงไหน แล้วใช้เฉพาะ need ใช้เพราะว่ามันจำเป็น ไม่ใช่ว่าใช้เพราะอยากใช้ ไม่ใช่จ่ายเพราะอยากจ่าย

ส่วน การบริหารด้วยรายเหลือ ไม่ใช่บริหารด้วยรายรับ รายจ่าย เราต้องรู้ประมาณว่าควรจะเหลือเอาไว้ เผื่อเจ็บ เผื่อป่วย เผื่อไข้ บริหารให้ ลงตัวตรงนี้ แล้วก็ไม่ตามใจปากตามใจท้อง จนเกินไป เดี๋ยวเราก็บริหารได้ลงตัวเอง แต่ที่แน่ๆ ก็จำไว้ก็แล้วกัน

การ เก็บหรือการเหลือเอาไว้ มีอยู่ ๒ อย่าง คือ เก็บส่วนหยาบกับเก็บส่วนละเอียด เก็บส่วนหยาบก็อย่างที่ว่าเมื่อกี้นี้ คือเอาส่วนเหลือไปฝากไว้ในธนาคาร คราวป่วย คราวไข้ ก็จะได้มีใช้ แต่เก็บอีกอย่างคือ เก็บละเอียด เปลี่ยนทรัพย์นั้นให้เป็นบุญ รู้จักฝากธนาคารบุญ ไปทำบุญทำทาน วัดวาอาราม สาธารณกุศลต่างๆ เปลี่ยนทรัพย์หยาบ ให้เป็นละเอียด ทรัพย์ละเอียด
นี้จะติดตัวเราไปข้ามภพข้ามชาติได้ โจรก็ปล้นไม่ได้ ใครก็โกงไม่ได้ ไฟก็ไม่ไหม้ น้ำก็ไม่ท่วม ดูวิธีเก็บทรัพย์ตรงนี้นะ
ส่วนที่เก็บไว้ในธนาคาร หรือเอาไปเล่นหุ้น เอาไปเล่น แชร์ ก็ระวังด้วยก็แล้วกัน เพราะว่า IMF ก็เคยอาละวาดให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว บริหารทรัพย์ด้วยรายเหลือเก็บทรัพย์ทั้งหยาบทั้งละเอียดเอาไว้จากรายเหลือ นั้น แล้วก็พิจารณาว่ามัน need หรือมัน want แล้วค่อยใช้เงิน ทำอย่างนี้ลูกเอ๊ย อย่างไรก็รวย