May 14, 2011

ยิ่งรวยจะยิ่งหยาบคาย






ยิ่งรวยจะยิ่งหยาบคาย



เขียนโดย ศ.ดร. วรากรณ์ สามโกเศศ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

จาก เว็บ varakorn.com


สิ่งที่เป็นลบเบื้องต้นเกี่ยวกับความมีเงิน นอกจาก “ความงก” มากขึ้นแล้ว ก็คือ ภาระความรับผิดชอบในการรักษาเงินทองที่มีอยู่และให้มันงอกเงยขึ้น

ส่วนที่เป็นลบอีกประการหนึ่ง ก็คือ ความหยิ่งผยอง ความหยาบคาย ไม่ง้อไม่สนใจใคร

เมื่อมีเงินทองมากขึ้น ลักษณะที่เป็นลบเช่นนี้จะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ดังนั้นจึงต้องระวังตนเองเป็นพิเศษ

ศาสตราจารย์ทางจิตวิทยา คือ Dr. Dacher Keltner ที่ Berkeley (ชื่อเต็ม คือ The University of California at Berkeley) ทำการทดลองโดยการอัดวีดีโอ ภาพนักศึกษามหาวิทยาลัยกว่า 100 คน ที่ไม่รู้จักกัน มารวมกันไว้ในห้องหนึ่งโดยไม่ให้รู้ตัว

เขาแบ่งนักศึกษาเหล่านี้ออกเป็น 2 กลุ่มๆ หนึ่งมาจากครอบครัวที่มีฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจดี และอีกกลุ่มหนึ่งมาจากครอบครัวที่มีฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจที่ไม่ดี

สิ่งที่เขาพบ ยืนยันความเชื่อของเขาที่ว่า “คนยิ่งรวย ยิ่งหยาบคาย”




อาจารย์ท่านนี้พบว่า ในกลุ่มครอบครัวรวย มีทางโน้มที่จะ “หยาบคาย” ในระหว่างความเงียบในห้อง กล่าวคือ ต่างคนจะต่างนั่งทำอะไรของตนเอง เช่น หวีผม ทาแป้งทาปาก ฯลฯ โดยไม่มอง หรือทักทายกัน หรือแสดงท่าทางว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ คือสัญญาณของ “ความหยาบคาย”

สำหรับกลุ่มที่ไม่รวย นักศึกษาจะมีทีท่าสนใจซึ่งกันและกันมากกว่า มีการหัวเราะหรือยักคิ้ว มีท่าทางแสดงยอมรับการมีคนอื่นอยู่ในห้อง โดยสรุปก็คือมี ลักษณะของ “ความสุภาพ” มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด

Professor Keltner สรุปว่า ผลจากการทดลองยืนยันพฤติกรรมพื้นฐานของสัตว์โดยทั่วไป กล่าวคือ สัตว์ที่ยิ่งอยู่บนวงจรอาหารที่สูง คือมีความแข็งแรงกว่า ต่อสู้กับโลกได้ดีกว่า จะมีท่าทีไม่สนใจสัตว์ที่อยู่ในวงจรอาหารที่ต่ำกว่า สัตว์ใหญ่ที่กินสัตว์เล็กกว่าเป็นอาหาร ไม่ง้อหรือแคร์สัตว์ที่เล็กกว่า ในขณะสัตว์ที่อยู่ในส่วนล่างของวงจร จะแคร์สัตว์ใหญ่ เพราะการอยู่รอดของตน ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของสัตว์ที่ใหญ่กว่า



สำหรับมนุษย์นั้น Professor Keltner เชื่อว่า ประสบการณ์จากความมีเงินทำให้คนมีเงินลดความใส่ใจคนจนกว่าเนื่องจากไม่ต้องพึ่งพา ไม่ต้องคิดถึงหัวอก เพราะมีความเป็นไปได้น้อยที่จะต้องขอความช่วยเหลือในวันหน้

ในขณะที่สถานการณ์ตรงกันข้ามเกิดกับคนที่จนกว่า ความไม่แน่นอนที่อาจต้องพึ่งพิงคนรวยกว่าในอนาคต ทำให้เขาต้องใส่ใจคนอื่นๆ ซึ่งกระบวนนี้ทำให้เขาเป็นคนสุภาพโดยไม่ตั้งใจ




ความจริงข้อนี้ เป็นสิ่งน่าพึงสำเหนียกสำหรับคนมีเงินหรือคนพอมีเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เพิ่งเปลี่ยนสถานะขึ้นมา

ถึงแม้จะไม่ตั้งใจ “หยาบคาย” แต่ก็อาจกระทำสิ่ง “หยาบคาย” ไปโดยไม่รู้ตัว เพราะธรรมชาติของสิ่งที่กล่าวมาแล้ว ยิ่งรวยขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งต้องระวังตัวมากขึ้นเพียงนั้น ตราบที่ยังต้องการเป็นคนที่รักของเพื่อน ของญาติ ของลูกน้องอยู่ อย่าลืมว่าจะยิ่งถูกจับตามองจากคนรอบข้างมากเป็นพิเศษ




เมื่อรวยขึ้น หากไม่พยายามฝืนความเป็นลบ อันเกิดจากความรวยที่เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติแล้ว โดยเผลอปล่อยให้มันเป็นไปตามเส้นทางของธรรมชาติ ท่านอาจถูกเกลียดชังโดยตนเองไม่เข้าใจก็เป็นได้

คงจะไม่มีอะไรน่าเศร้าไปกว่า เมื่อมีเงินแล้วกลับถูกเกลียดชังมากขึ้น ขาดเพื่อนที่จริงใจ จะมีก็แต่ความสุขกายที่เงินทองหาซื้อให้ได้ แต่ไม่มีความสุขใจ




การรวยขึ้นไม่จำเป็นว่า จะทำให้มีความสุขซึ่งประกอบด้วยความสุขกายและความสุขใจมากขึ้นเสมอไป เพราะความสุขกายนั้นเป็นองค์ประกอบของความสุขที่เป็นส่วนเล็กกว่าความสุขใจ




ธรรมสวัสดี



ร่มไม้เย็น ค่ะ

No comments: