Aug 26, 2008

ปลาทอดยำแอ๊ปเปิ้ล


ปลาทอดยำแอ๊ปเปิ้ล




เครื่องปรุง
เนื้อปลา 500 กรัม
แป้งสาลีอเนกประสงค์ 1 ถ้วย
แอ๊ปเปิ้ลเขียวลูกเล็ก 1 ลูก
หัวหอมแดง 1 หัว
น้ำมะนาว 1 ½ ช้อนโต๊ะ
ซีอิ้วขาว (หรือน้ำปลา) 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
พริกสด 2 เม็ด
ผักชี 2-3 ต้น
น้ำมันสำหรับทอด 1 ถ้วย

วิธีทำ
1. นำปลามาหั่นเป็นชิ้น ซับน้ำให้แห้ง เทแป้งสาลีใส่จาน
แล้วนำชิ้นปลาลงไปคลุกให้ทั่ว

2. เปิดเตาที่ไฟปานกลาง ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันสำหรับทอด
ลงไป รอจนน้ำมันร้อนได้ที่ นำชิ้นปลาที่คลุกแป้งไว้ลงไป
ทอด

3. ทอดจนชิ้นปลาเหลืองกรอบทั้งสองด้านจึงตักขึ้นวาง
บนกระดาษเพื่อซับน้ำมัน

4. ทำน้ำยำโดยนำน้ำมะนาว น้ำตาลทราย ซีอิ้วขาว (หรือ
น้ำปลา) ผสมรวมกัน ตัดขั้วพริกออก นำไปล้างน้ำให้สะอาด
แล้วซอยพริกใส่ลงไปในน้ำปรุง (ถ้าชอบเผ็ดก็เพิ่มพริกได้
ตามชอบนะคะ) ชิมให้ได้ 3 รส จากนั้น ตักใส่ถ้วย เตรียมไว้
เสริฟพร้อมปลาทอด

5. ปลอกเปลือกหัวหอมแดง ตัดก้านผักชี นำผักต่างๆ และ
แอ๊ปเปิ้ลเขียวมาล้างน้ำให้สะอาด สะเด็ดน้ำให้แห้ง นำแอ๊ปเปิ้ล
มาปลอกเปลือกออก ฝานบางๆ แล้วซอยเป็นเส้นๆ ส่วนหัว
หอมแดงนำมาซอยบางๆ และซอยผักชีหยาบๆ พักไว้

6. นำน้ำเย็นใส่ถ้วยประมาณ 2 ถ้วย เติมเกลือป่นลงไป
ประมาณ ½ ช้อนชา คนให้เข้ากัน นำแอ๊ปเปิ้ลที่ซอยเป็นเส้น
แล้วไปแช่ในน้ำเกลือประมาณ 10 นาที จากนั้นก็นำไปล้าง
น้ำเย็น และสะเด็ดน้ำออกให้หมด แล้วจึงนำผักทั้งหมดที่
เตรียมไว้มาคลุกรวมกัน

7. นำปลาที่ทอดไว้มาจัดใส่จาน วางสลัดแอ๊ปเปิ้ลไว้ข้างๆ
จากนั้นก็ยกเสริฟพร้อมน้ำยำที่เตรียมไว้ได้เลยค่ะ


ขอบคุณข้อมูลจากยูแคนคุ๊กไทยดอทคอม

Aug 23, 2008

ซูเฟล่แกรนด์มานิเยร์







เครื่องปรุง
  • มะพร้าวครึ่งซีก
  • น้ำตาล 500 กรัม
  • ไข่ 2 กรัม
  • น้ำเชื่อม 20 กรัม
  • วิปปิ้งครีม 200 กรัม
  • เหล้าแกรนด์มานิเยร์ 10 กรัม
มูสช็อคโกแลตดำ
  • ช็อกโกแลตดำ 100 กรัม
  • น้ำตาล 25 กรัม
  • ไข่ 2 กรัม
  • น้ำเชื่อม 20 กรัม
  • บรั่นดี
  • วิปปิ้งครีม 200 กรัม
มูสช็อคโกแลตนม
  • ช็อกโกแลตนม 100 กรัม
  • น้ำตาล 25 กรัม
  • ไข่ 2 กรัม
  • น้ำเชื่อม 20 กรัม
  • เหล้าคาลัว 10 กรัม
  • วิปปิ้งครีม 200 กรัม
มูสช็อคโกแลตขาว
  • ช็อกโกแลตขาว 100 กรัม
  • น้ำตาล 25 กรัม
  • ไข่ 2 กรัม
  • น้ำเชื่อม 20 กรัม
  • เหล้ากวงโทร 10 กรัม
  • วิปปิ้งครีม 200 กรัม
วิธีทำ
ซูเฟล่
ตีไข่ให้เข้ากับน้ำตาลให้ฟู เติมวิปครีมและเหล้าแกรนด์
มานิเยร์ ใส่ในกะลามะพร้าวหรือพิมพ์ตามต้องการ แล้ว
แช่เย็น

มูส
ตีไข่ให้เข้ากับน้ำตาลจนฟู เติมวิปครีมและเหล้าตามสูตร
ใส่ในพิมพ์แล้วน้ำไปแช่เย็น




สูตรอาหารจาก เชฟ บุญสอน ปิลอง จากห้องอาหารเทรเดอร์ วิคส์
ที่มาข้อมูล :นิตยสาร Harper's Bazaar ฉบับภาษาไทย

ผลแห่งความตระหนี่







เมื่อพูดถึงผลดีของทาน การรู้จักให้แล้วถ้าจะไม่กล่าวถึงผลแห่ง
ความตระหนี่ก็ดูจะขาดความสมบูรณ์ไป เกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่าน
อาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
ท่านได้แสดงเอาไว้ว่า "ถ้าเป็นความตระหนี่ถี่เหนียวแล้ว เอาละไป
ไหน จนตรอก จนมุม แม้อยู่ในหมู่มนุษย์ บริษัทบริวารมีน้อยมาก
ทีเดียว ใครเขาไม่อยากไปเกี่ยวข้องแหละ คนตระหนี่ถี่เหนียว
ถ้าเป็นนักเสียสละ เป็นคนใจกว้างใจขวาง ไปที่ไหน เพื่อนฝูงไม่อด
เวลาตาย นี้เต็มไปด้วยคนมาในงานศพ คนตระหนี่ถี่เหนียวตาย แล้ว
ไม่ค่อยมีใครมาในงานศพนะ เขาไม่อยากมา ไม่มีแก่ใจที่จะมา
เพราะความตระหนี่ถี่เหนียวนี่ละ ไม่ใช่ของดี ความตระหนี่ถี่เหนียว
เอ้า เราจะสมมติให้เห็นชัดๆว่า


เรามีเงินหนึ่งพันบาทเก็บไว้ เก็บไว้เท่าไรก็ไม่เห็นมันแสดงอาการอะไร
เก็บไว้อย่างนั้นเจ้าของก็ภูมิใจว่าเรามีเงินพันบาท เงินพันบาทอยู่โน้น
เจ้าของอดตายอยู่นี้ ไม่เห็นเป็นประโยชน์อะไรเจ้าของก็เงินพันบาท
พอจับเงินพันบาทนี้ไปซื้อสิ่งของปั๊บ ได้ผลได้ประโยชน์มาเลย พอ
จับเงินนี้ไปเสียสละทำบุญให้ทานนี้ ทางผู้ได้รับ มีความยิ้มแย้มแจ่ม
ใสตอบรับกันเราก็ให้ด้วยความยินดี ให้ด้วยความเมตตาสงสาร เขาก็
รับด้วยความยินดี เพราะเราไปสงเคราะห์เขา นั่นแสดงความดีใจขึ้นมา
ในทันทีทันใด เงินจำนวนนี้นะ จำนวนที่เราเสียสละถ้าเก็บไว้เฉยๆ ไม่
เกิดประโยชน์ไม่เห็นมีอะไร เจ้าของก็ภูมิใจ บ้าไปอย่างนั้นล่ะ ตายแล้ว
ก็มาเป็นเปรตเป็นผีเฝ้าสมบัติภูมิใจกับเปรตของตัวเองนั่นแหละ แต่เวลา
เอาไปเสียสละแล้ว ภูมิใจในการได้ให้เขาด้วย เขาก็ภูมิใจในการที่ได้รั
จากเราด้วย

นั่นผลประโยชน์ต่างกัน การเก็บไว้กับการเสียสละ การเสียสละ
เป็นความดีงาม เอามากทีเดียว เวลาจะเป็นจะตายก็อาศัยจำนวนที่เสีย
สละเท่านั้น ส่วนที่เก็บไว้นี่ ไม่ได้อาศัยมันแหละ ตายแล้วก็มีแต่เป็น
เปรตเป็นผี มาอาศัยเกาะอยู่นั้น ไม่เกิด ประโยชน์อะไร"



ที่มา http://www.dhammathai.org/store/giving/giving12.php