จำนวนผู้เข้ารับการผ่าตัดทำศัลยกรรมของสหรัฐเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
โดยเมื่อปีที่แล้วชาวอเมริกันใช้จ่ายเงิน 13,000 ล้านเหรียญ
หรือ 4.16 แสนล้านบาท ขณะที่พ.ศ. 2544 อยู่ที่ 8,500 ล้าน
เหรียญ หรือ 2.72 แสนล้านบาท ทั้งหญิงและชายต่างพากัน
ไปให้แพทย์ เพื่อให้กำจัดส่วนที่น่าเกลียดหรือส่วนที่ไม่น่า
พอใจบนร่างกาย เพราะคิดว่าเมื่อหน้าตาดีแล้ว จะสร้างความ
มั่นใจให้กับตนเองในสภาพสังคมที่ยุค "ภาพลักษณ์" เป็นเรื่อง
สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นภาพลักษณ์ในหน้าที่การงานไปจนถึงเรื่อง
รักๆ ใคร่ๆ
สำหรับการศัลยกรรม 5 อย่างแรกที่หญิงอเมริกันทำคือ ผ่าตัด
เสริมหน้าอก ดูดไขมัน ตกแต่งรอบดวงตา ตกแต่งก้นและลด
ขนาดหน้าอก ส่วนฝ่ายชายทำการดูดไขมัน ตกแต่งรอบดวงตา
ทำจมูก ลดขนาดหน้าอก และปลูกผม
ส่วนการเสริมสวยโดยไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัดที่ชาวอเมริกัน
ทั้งสองเพศทำมากที่สุดคือ การฉีดโบท็อกซ์
ยังมีศัลยกรรมอีกอย่างที่กำลังพุ่งแรงคือ การผ่าตัดกระเพาะ
เพื่อลดความอ้วน การผ่าตัดนิ้วเท้าอย่างนิ้วชี้และนิ้วกลางให้
เล็กลง จะได้ใส่ส้นสูงที่เรียวบางได้ ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า
"จิมมี่ชู ฟิกซ์" เนื่องจากจิมมี่ชูเป็นยี่ห้อรองเท้าในฝันของเหล่า
สตรี เมื่อใส่แล้วจะทำให้ผู้หญิงดูแบบบางและมีความเป็นผู้หญิง
มากขึ้น แม้ว่าการสวมรองเท้าเช่นนี้จะทรมาน
ตลาดการศัลยกรรมขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการโฆษณา
และมาตรฐานการศัลยกรรมที่ดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างรูปดาราที่ผ่าน
การศัลยกรรมก็เป็นตัวกระตุ้นหนึ่งที่ทำให้คนอยากสวยอยาก
หล่อตาม หรือผู้ที่มีอายุ 60 ปีแต่อยากให้มีรูปร่างสวยงาม
เหมือนตุ๊กตาบาร์บี้ โดยกระชากอายุลงมาเหลือ 35 ปีนั้น
ไม่มีทางทำได้นอกจากต้องเข้ารับการผ่าตัด
นักจิตวิทยาเปิดเผยว่า ผู้เข้ารับการผ่าตัดศัลยกรรมหลาย
คนกังวลถึงความบกพร่องบนใบหน้าและรูปร่างของตนเอง
มากเกินไป อาการเช่นนี้เรียกว่า "บอดี้ ดิสมอร์ฟิก ดิออร์เดอร์
(BDD)" อย่างเห็นว่าสะโพกใหญ่เกินไป คางเล็กเกินไป
หูกางเกินไป ตัวอย่างของผู้ที่มีอาการนี้ที่เห็นชัดที่สุดน่า
จะเป็น "ไมเคิล แจ๊กสัน"
ข้อมูลจาก
No comments:
Post a Comment