Instruction | Article | Entertainment | Variety | Health | Life Style | Sport | News | Idea | Goods | So Good | Max Idea | Foods | ***รวบรวมเรื่องราวดีๆ ทั้งบทความ ข้อแนะนำ หรือแม้แต่ความบันเทิง ตลอดจนถึงเรื่องราวทางด้านการดูแลสุขภาพ หรือเรื่องเตือนภัย ข้อคิดดีๆ มีรวบรวมเอาไว้แบ่งปันให้กับทุกคนที่นี่***
Showing posts with label สูตรลับความสำเร็จ. Show all posts
Showing posts with label สูตรลับความสำเร็จ. Show all posts
May 15, 2011
39 ข้อคิดจิตวิทยาแห่งความสำเร็จ (บัณฑิต อึ้งรังษี)
อ่านแล้วรู้สึกดี เลยเอามาเก็บไว้ในนี้ เผื่อมีใครผ่านมาได้อ่านนะ
1. ฝันให้ใหญ่…..ใหญ่สุดๆ Imagination is Power ถ้าเราตั้งเป้าไว้ว่าจะบินให้ไปถึงดวงดาว แต่แล้วเราไปถึงได้แค่ยอดเขา เราก็ยังถึงที่สูงกว่าที่เราเป็นอยู่ตอนนี้มากมายนัก อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เคยกล่าวข้อความที่คนทั้งโลกรู้จักกันดีว่า “Imagination is more powerful than knowledge” หรือ “จินตนาการมีพลังกว่าความรู้” นั่นคือการใช้จินตนาการเป็นพลังสร้างฝันให้เป็นจริง
2. มนุษย์จะพัฒนาการไปตามอย่างที่ตนคิด As a Man Thinks,He is ทุกอย่างเริ่มที่ความคิดเท่านั้น ข่าวดีก็คือ….คุณสามารถเปลี่ยนอนาคตของคุณได้ โดยการเปลี่ยนความคิดของคุณ นับแต่นี้เป็นต้นไป
3. วิ่งหนึ่งไมล์ในสี่นาที 4-Minutes Mile ตัวคุณเองลอง”วิ่งหนึ่งไมล์ใน4นาที”บ้างสิครับ ด้วยเรื่องง่ายๆ เช่น ออกกำลังกายลดน้ำหนัก ทำอะไรที่คิดว่าตัวเองทำไม่ได้หรือเกี่ยงมานาน
4. ใช้หัวใจเลือกอนาคต Do What You Love, and the Money Will Follow “ทำสิ่งที่ตนรักแล้วเงินจะตามมาเอง”
5. เดินหน้าหาทาง Do What You Can, Where you can ส่วนที่ผมสนใจมากคือชีวประวัติของวาทยกรที่ยิ่งใหญ่ของโลกแต่ละคน
6. เรียนรู้อย่างรวดเร็วเพื่อเอาชนะ Super-Learning หาสิ่งที่เป็นผลงานของคนที่เก่งที่สุดในสาขาที่คุณสนใจมาศึกษาเลียนแบบปรมาจารย์ทำให้เรียนรู้ได้เร็วขึ้นไม่ต้องมาเสียเวลากับเรื่องที่คนทำได้กันแล้วทำให้เรา “ต่อยอด” ได้เร็วขึ้น มีเวลาคิดค้นเทคนิคใหม่ๆที่ยังไม่เคยมีใครทำกัน
7. ฝ่าด่านอคติฝรั่ง Over-Prepare “ผลงานต้องดีกว่า” คือขึดที่ผมใช้ต่อสู้กับอคติ
8. เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตามตาม Profile Global, Act Local การทำงานร่วมกับคนจำนวนมากต้อง “เก่งงาน” เพื่อให้เขา “ยอมรับ” ต้อง “เก่งคน” เพื่อให้เขา “ยอมฟัง” ยอมทำตามกันเป็นทีม
9. ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน Goal-Setting “เป้าหมายเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดอันหนึ่งของความสำเร็จ” คุณต้องตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน วัดได้ แต่อย่าปล่อยให้ล่องลอยอยู่ในอากาศให้เขียนลงไป มันจะทำหน้าที่เป็น “สาร” แห่งแรงบันดาลใจที่สร้างพลังและมักให้ผลตอบแทนสูงกว่าที่คิดเสมอ
10. “วางแผน” เป็นเรื่องง่ายๆ Planning ไม่มีความรู้สึกอะไรจะยิ่งใหญ่ไปกว่าการบรรลุเป้าหมาย เพราะนั้นจะเป็นความรู้สึกที่จะทำให้คุณมีความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น ข้อแตกต่างระหว่าง “ความฝันลมๆแล้งๆ” กับ “ความมุ่งมั่นฝันใฝ่ถึงความสำเร็จ” ก็คือ “การวางแผน” การวางแผนเป็นเรื่องง่ายๆ ระดับสามัญสำนึก(Common Sense) ถ้าตั้งเป้าหมายของคุณให้ชัดเจนและต้องการมันมากอย่างเพียงพอ การวางแผนก็จะเป็นธรรมชาติ
11. สู้ตาย…ตัดทางถอย Burn the Bridge Behind You ตราบใดที่เรายังไม่ตั้งปณิธานให้แน่วแน่ มัวแต่ประนีประนอมสร้าแผนสำรองและเปิดโอกาสให้ตนเองถอยได้ก็จะประสบความเร็จยิ่งใหญ่ไม่ได้เลย ถ้าคุณมุ่งมั่นตัดสินใจทำอะไรแล้วให้ “เผาสะพานทิ้ง” อย่าล้มเลิกกลางคัน
12. อ่าน อ่าน อ่าน What You Read, You are คุณต้องชั่งน้ำหนักระหว่างเรื่องที่ “น่าอ่าน” กับเรื่องที่ “ควรอ่าน” เพราะการอ่านก็คือการเพาะเมล็ดพันธุ์ทางความคิดเข้าไปในตัว ไม่มีอะไรคุ้มค่าไปกว่าการอ่านหนังสืออีกแล้วละครับ และที่สำคัญ…ไม่มีอะไรมาแทนการอ่านหนังสือได้ด้วย
13. ฝึกซ้อมในใจ Do Within When You are Without ไม่ว่าจะเป็นทักษะอะไรก็ตามการพูดในที่สาธารณะ นำเสนอแผนงานขายสินค้า เล่นเทนนิสคุณสามารถ”ฝึกในใจ” ได้ทั้งนั้น
14. ความรับผิดชอบ Responsibility จุดเริ่มต้นการคิดของคุณ ต้องเริ่มต้นด้วยการยอมรับผิดชอบว่าคุณมาถึงสถานการณ์ตอนนี้ที่คุณเป็นอยู่ไม่ว่าดีหรือร้ายมันเกิดจากคุณทั้งสิ้น ถ้าคุณยอมรับว่าคุณคือคนที่กุมบังเหียนชีวิตของคุณเองคุณจะรู้ถึงศักยภาพที่จะเปลี่ยนอนาคตของคุณเองได้และถ้าคุณจะเปลี่ยนอนาคตของคุณ สิ่งแรกที่คุณต้องเปลี่ยนก็คือความคิดของคุณเอง
15. คิดในทางบวก Think Positive ถ้าเราต้องการอะไรจากชีวิตเราก็ต้องคิดอย่างนั้น คิดตลอดเวลาถึงสิ่งที่เราต้องการ อย่าไปพูดถึงสิ่งที่ไม่ต้องการ”ผมกลัวโน่น ผมกลัวนี่ผมไม่อยากจน ผมไม่อยากป่วย อย่าให้ชีวิตคุณถูกครอบคลุมด้วยความกลัว แต่ให้ถูกผลักดันด้วยความฝัน
16. เส้นไม่ใหญ่ไม่เป็นไร Connection สายสัมพันธ์หมายถึงการยอมรับ ซึ่งมีที่มามากกว่าเรื่องความสามารถและผลงาน ถ้ามัวแต่เก่งแล้วไม่ไปเสริมสร้างสายสัมพันธ์ให้คนอื่นเขารักชอบ มักก็จบเพราะฉะนั้น ความสามารถกับการสายสัมพันธ์ต้องไปด้วยกัน
17. เพียง Resume ในกระดาษ ไม่ให้งานที่ดีกับใคร งานที่ดีมักจะมาจากการที่คนเรารู้จัก อาจจะเป็นเจ้านายหรือมีคนที่อยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าและเห็นผลงานของเรา ดังนั้นประเด็นจึงมีอยู่ว่าจะทำอย่างไรให้ผลงานของเราเป็นที่รู้จักนี่เป็นเรื่องของสายสัมพันธ์เครือข่ายความไว้เนื้อเชื่อ ใจในความสามารถจนเกิดการแนะนำบอกต่อกันมา ไม่ใช่เรื่องของกระดาษ “Resume” แผ่นเดียว
18. รอให้เรียนจบก็สายแล้ว Always Think Steps Ahead การเรียนทำให้คุณได้ความรู้ได้ทฤษฎีได้ใบปริญญา แต่ยังไม่ได้ “ผลงาน” การไปฝึกงานคือจุดเริ่มต้นที่จะทำให้คุณรู้จักคนในหน่วยงานนั้น จากนั้นต้องทำให้เขาเห็นผลงานของเรา ซึ่งต้องทำให้โดดเด่นขึ้นมาจากคนอื่น จนที่สุดเขาชอบเราและนึกถึงเราเป็นคนแรกเวลาที่ต้องการคน
19. ตามหาคนเก่งมาเป็นพี่เลี้ยง Learn From the Masters เมื่อคุณตัดสินใจแล้วว่าจะพัฒนาตนเองทางด้านไหน คุณจะต้องไปสืบเสาะเอาคนที่เก่งที่สุดในสาขานั้นมาเป็น “พี่เลี้ยง” คุณให้ได้ และที่สำคัญคือควรเก่งทางด้านปฏิบัติ ไม่ใช่ด้านทฤษฎีอย่างเดียว การรู้จักคนที่ถูกต้องทำให้เราประหยัดเวลาได้อีกเยอะ
20. ชื่อเสียงรักษาเท่าชีวิต Reputation ตัดสินใจตั้งแต่ตอนนี้ถ้าคุณจะมีชื่อเสียง จะให้คนพูดถึงคุณว่าอย่างไรว่าคุณเป็นคนซื่อสัตย์หรือคนโกงว่าคุณเป็นคนตรงเวลาหรืออู้งาน
21. “นอกวง”เลย”นอกกรอบ” Think Outside the Box อย่ายอมรับสิ่งที่คนอื่นบอกว่าเป็นข้อจำกัดของเรา “การคิดต่างกันทำให้อนาคตต่างกัน”
22. คิดใหญ่ทลายข้อจำกัด Accept No Limits หากข้อจำกัดนั้นเป็นความจริงที่วางอยู่ตรงหน้าคุณ วิธีการทลายก็คือคิดให้ใหญ่กว่า ซึ่งก็คือการคิดนอกกรอบในอีกรูปแบบหนึ่งเหมือนกัน ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีอะไรจำกัดตัวเราได้ ความเป็นไปได้มีหมด เพราะศักยภาพของมนุษย์นั้นมีสูงมาก เพราะฉะนั้น อย่าไปเชื่อข้อจำกัดที่คนอื่นบอกเรามา ข้อจำกัดไม่มีหรอก มีแต่ความคิดเรื่องข้อจำกัด
23. ขอคืบให้ศอก Go the Extra Mile ผลงานของคุณจะต้องเยี่ยมและดีพร้อมเสมอ แต่นอกเหนือจากนั้นต้องให้เกินความคาดหมายของผู้รับ อย่าเป็นคนที่ทำได้แค่เท่าที่สั่ง สิ่งนี้ยังเป็นการพัฒนาเราอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
24. เพิ่มคุณค่าให้ตนเองเสมอ Constant Improvement งานของผมไม่มีคำว่าอยู่เท่าเดิม ถ้าผมไม่โตหรือพัฒนาความก้าวหน้าอาชีพก็จะเหี่ยวเฉาและตายไปและความจริงนี้ใช้ได้กับธุรกิจหลายประเภทที่มีการแข่งขันกัน
25. ภาษานั้นสำคัญไฉน Language Skills
26. พรสวรรค์เรื่องเล็ก ทำงานหนักเป็นเรื่องใหญ่ Talent Genius is 10% inspiration and 90% perspiration
27. อุปสรรคและความผิดหวัง Overcoming Obstacles ยิ่งฝันใหญ่เท่าไรก็ต้องเจออุปสรรคมากเท่านั้น สิ่งที่สำคัญคือวิธีคิด เมื่อต้องเจออุปสรรคและความผิดหวัง “อย่าให้มันหยุดเราได้” ถ้าอุปสรรคและปัญหาเป็นเรื่องที่แน่นอน สิ่งที่จะช่วยให้เราจัดการกับมันได้อย่างมีประสิทธิภาพก็คือการเตรียมการก่อนล่วงหน้า
28. วิธีเลือกคู่ครองให้ถูก พลังแห่งจิตใต้สำนึกน่าจะนำมาใช้ได้ในการหาคู่ครอง
29. ความถ่อมตัว Humility “อย่าคิดว่าเราเก่ง คนที่เคยทำได้เหมือนเราและดีกว่าเราก็มีมากในโลกนี้” คนยิ่งขึ้นสูงต้องยิ่งถ่อมตัว”
30. อย่าเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่น Don’t Compare เพราะเราเปลี่ยนอดีตไม่ได้แต่เราเปลี่ยนอนาคตได้ อย่ามัวเสียเวลาคิดถึงอดีตที่เปลี่ยนไม่ได้ คิดถึงอนาคตที่สดใสของคุณดีกว่า
31. กระสุนนัดเดียวต้องโดน Limites Bullets
32. คำปฏิเสธ….นั้นไซร้ธรรมดา Coping with Rejections ผมมีสองทางให้เลือก จะยอมแพ้หรือจะถามคนต่อไปที่อาจจะมีความต้องการ “ตรงกับเรา”
33. กินกบตั้งแต่เช้า Eat that frog ศัตรูตัวเล็กๆที่มีประสิทธิภาพสูงในการสกัดกั้นความสำเร็จคือนิสัยการผัดวันประกันพรุ่งเพื่อสร้างวินัย งานชิ้นแรกที่คุณควรทำในแต่ละวันคืองานที่คุณไม่อยากทำที่สุด งานที่ยากที่สุด
34. โชคชะตาไม่สำคัญ LUCK โชคเกิดขึ้นเมื่อการเตรียมพร้อมพบกับโอกาส
35. มีความสุขเดี๋ยวนิ้ Be Happy-Now! ถ้าคุณสังเกต ความสุขไมได้มาจากสิ่งภายนอก มันมาจากภายในขึ้นอยู่กับคุณเห็นค่ากับสิ่งที่ตนเองมีอยู่แล้วมากน้อยแค่ไหน
36. โลกนี้ไม่เคยต้องยุติธรรม The World is Never Fair การตอบรับสถานการณ์ที่เรามีหรือเป็นอยู่สำคัญกว่าสถานการณ์ที่ชีวิตให้มา เพราะฉะนั้น ทิศทางของชีวิตเราอยู่ในความควบคุมของเราเอง
37. อย่าล้มเลิก Never Give Up เหตุผลส่วนหนึ่งก็คือว่า บางครั้งความสำเร็จอาจจะอยู่แค่เอื้อม แต่เพราะความท้อแท้และเหนื่อยหน่ายทำให้เราล้มเลิกไปเสียก่อน ความสำเร็จอยู่หัวเลี้ยวสุดท้ายที่เอง
38. อย่างหวัดแต่พึ่งคนอื่น Your are Responsible คุณต้องรับผิดชอบอาชีพของคุณเอง
39. อธิษฐาน Prayer การอธิฐาน ขาดไม่ได้สำหรับการให้ได้สิ่งที่ต้องการ เมื่อคุณรู้สึกหมดหนทาง…..จงอธิฐาน
Credit : http://www.yimtamphan.com/?p=16
fm.bloggang
ป้ายกำกับ:
สูตรลับความสำเร็จ
จงรู้สึกกระหายและโง่เขลาอยู่เสมอ – Stay Hungry, Stay Foolish.

สตีฟ จ็อปส์ (Steve Jobs) ชื่อนี้ไม่ธรรมดาแน่ครับ น้องๆ รุ่นใหม่อาจจะรู้จักผลงานของเขาดีจาก ไอโฟน – iPhone โทรศัพท์มือถือที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย ซึ่งเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงที่ทำรายได้ให้กับบริษัท Apple เป็นอย่างมากเมื่อ มองย้อนกลับไปในอดีต ตัวผมเองก็เคยเป็นลูกค้าของเขา เนื่องจากคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่ผมใช้คือ Apple II ช่วงที่ผมเริ่มหัดเขียนโปรแกรมภาษา Applesoft BASIC ด้วยการศึกษาจากตำราของพันตรีประพัฒน์ อุทโยภาศ ซึ่ง ผมเคารพนับถือ ในฐานะที่ท่านเป็นผู้ให้ความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์แก่ผม และอีกหลายๆ คนในแวดวงคอมพิวเตอร์ในสมัยนั้น เป็นช่วงที่เครื่องคอมพิวเตอร์ยี่ห้อ Apple ได้รับความนิยม ก่อนการมาถึงของเครื่อง IBM PC และโปรแกรม Microsoft Windows ด้วยครับ

สตีฟ จ็อปส์ ผู้มีวิสัยทัศน์ ก็เป็นผู้ริเริ่มระบบติดต่อกับผู้ใช้แบบกราฟฟิคมาก่อน ในเครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอช แต่หลังจากที่ PC (คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล – Personal Computer) และโปรแกรม Windows ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ประกอบกับการบริหารงานที่ยากลำบากในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้สตีฟ จ็อปส์ ถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตัวเองก่อตั้งมากับมือ
แล้วเหตุใดวันนี้ สตีฟ จ็อปส์ จึงกลับมาผงาดในวงการได้อย่างยิ่งใหญ่กว่าเดิม ซึ่งไม่เพียงแต่เฉพาะในวงการคอมพิวเตอร์เท่านั้น สตีฟ จ็อปส์ ยังเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถปฎิวัติวงการคอมพิวเตอร์อนิเมชั่น โดยดำรงตำแหน่ง Chairman และ Chief Executive Officer ใน Pixar Animation Studio ที่เขาซื้อต่อมาจาก Lucasfilm ในปี 1986 ซึ่งได้ผลิตภาพยนตร์การ์ตูนอนิเมชั่นดังๆ มากมายให้โลกได้ตะลึง เช่น A Bug’s Life หรือ Toy Story 2 รวมทั้งเป็นผู้พลิกโฉมการฟังเพลงแบบดิจิตอลด้วยเครื่องเล่น iPod จนมาถึงวงการโทรศัพท์มือถือกับเครื่อง iPhone ที่สวย ใช้ง่าย ถูกใจหนุ่มสาวยุคใหม่ รวมถึงผู้ใช้ที่ชอบความอินเทรนด์
แล้วเหตุใดวันนี้ สตีฟ จ็อปส์ จึงกลับมาผงาดในวงการได้อย่างยิ่งใหญ่กว่าเดิม ซึ่งไม่เพียงแต่เฉพาะในวงการคอมพิวเตอร์เท่านั้น สตีฟ จ็อปส์ ยังเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถปฎิวัติวงการคอมพิวเตอร์อนิเมชั่น โดยดำรงตำแหน่ง Chairman และ Chief Executive Officer ใน Pixar Animation Studio ที่เขาซื้อต่อมาจาก Lucasfilm ในปี 1986 ซึ่งได้ผลิตภาพยนตร์การ์ตูนอนิเมชั่นดังๆ มากมายให้โลกได้ตะลึง เช่น A Bug’s Life หรือ Toy Story 2 รวมทั้งเป็นผู้พลิกโฉมการฟังเพลงแบบดิจิตอลด้วยเครื่องเล่น iPod จนมาถึงวงการโทรศัพท์มือถือกับเครื่อง iPhone ที่สวย ใช้ง่าย ถูกใจหนุ่มสาวยุคใหม่ รวมถึงผู้ใช้ที่ชอบความอินเทรนด์

ครั้งหนึ่ง สตีฟ จ็อบส์ ได้เคยถ่ายทอดประสบการณ์ในการปาฐกถาพิเศษ ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เมื่อเดือนมิถุนายน 2005 ได้อย่างน่าสนใจ จากนั้น ในปีเดียวกันนั้น ปาฐกถาของเขาก็ได้รับการตีพิมพ์เป็นบทความลงในนิตยสาร Fortune ฉบับเดือนกันยายน ซึ่งเป็นที่ฮือฮาอย่างมากจนมีการโพสต์ตาม Blog กระจายไปทั่วโลก
Steve Jobs Stanford Commencement Speech 2005 – “Stay Hungry, Stay Foolish”
+ เรื่องแรก… เป็นเรื่องของการมองเส้นทางเดินของชีวิตที่ผ่านมา ซึ่งมันเป็นคล้าย ๆ การต่อเชื่อมจุดให้เป็นรูปร่าง +
ผมดรอปจากมหาวิทยาลัย Reed หลังจากเข้าเรียนได้เพียง 6 เดือน แต่ก็ยังเตร็ดเตร่อยู่ในมหาวิทยาลัยอีก 18 เดือน ก่อนที่จะออกมาจริง ๆ ถามว่าทำไมผมถึงดรอป บางทีเรื่องนี้อาจจะเริ่มมาตั้งแต่ผมยังไม่เกิดด้วยซ้ำไป แม่ของผมเป็นสาวรุ่นที่เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยและไม่ได้แต่งงาน เธอตั้งใจว่าจะยกผมให้คนที่ต้องการเด็กรับไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม เธอมีเงื่อนไขในใจที่ค่อนข้างแรงกล้าว่า จะยกผมให้กับคู่สามีภรรยาที่ต้องจบมหาวิทยาลัยเท่านั้น ตอนแรกผู้ที่จะรับผมไปอุปการะนั้น เป็นคู่ของทนายความกับภรรยา แต่ปรากฏว่า ตอนผมคลอดนั้น ทั้งสองก็เกิดเปลี่ยนใจกะทันหันว่าอยากได้เด็กผู้หญิง ผมก็เลยมาเป็นลูกของพ่อแม่ผมในขณะนี้ ตอนนั้นท่านทั้งสองอยู่ในรายชื่อถัดไป ที่ต้องการรับเด็กไปเลี้ยง พอคู่ของทนายปฏิเสธ ก็เลยมาถึงคิวของท่าน แต่ปัญหาก็คือ..พ่อแม่ผมไม่ได้จบมหาวิทยาลัย ในหนแรก แม่ผมจึงไม่ยอม แต่สุดท้ายก็ยอมเพราะพ่อแม่ผมให้สัญญาว่า จะส่งผมเข้ามหาวิทยาลัยเมื่อผมโตขึ้นอย่างแน่นอน
ผมอยากจะยกตัวอย่างให้ฟังซักเรื่อง มหาวิทยาลัย Reed ในตอนนั้นอาจจะเรียกได้ว่ามีคอร์สสอนการออกแบบตัวอักษร (calligraphy) ที่ดีที่สุดในอเมริกาก็ว่าได้ ป้ายหรือโปสเตอร์ต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัยจะถูกออกแบบอย่างสวยงาม ผมตัดสินใจเข้าเรียนวิชานี้ เนื่องจากไม่ต้องลงเรียนวิชาปกติ หลังจากดรอปไว้ ผมได้เรียนรู้ตัวอักษร serif และ sans serif ได้รู้เรื่องการจัดวางช่องไฟ การผสมผสานตัวอักษรขนาดต่าง ๆ กัน ให้งานออกมาดูดีที่สุด มันเป็นอะไรที่บ่งบอกถึงความสวยงาม มีที่มาที่ไป และมีศิลปะแบบที่วิทยาศาสตร์ก็สอนเราไม่ได้ มันสุดยอดจริง ๆ แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรในชีวิตผมเลย

จนกระทั่งสิบปีต่อมาเมื่อเราออกแบบคอมพิวเตอร์ แมคอินทอชเครื่องแรก นั่นแหละวิชาที่เรียนตอนดรอปถึงช่วยได้จริง ๆ ทุกท่านคงเห็นเครื่องแมคฯ ที่มีตัวฟอนท์ที่สวยงาม
นี่ถ้าผมไม่ได้ลงเรียนวิชาการออกแบบตัวอักษร (Calligraphy) ในตอนนั้นแล้ว เราก็คงไม่มีเครื่องแมค อย่างที่เราเห็นในวันนี้ และความจริงก็คือถ้าวินโดวส์ไม่ลอกเราในวันนั้น (เสียงปรบมือและฮากันสนั่น….) พีซีในยุคปัจจุบันก็จะไม่มีตัวฟอนท์อย่างนี้ก็ได้ ทั้งหมดเกิดขึ้นได้เพราะผมลงเรียนวิชาคัดลายมือครั้งนั้นทีเดียวจริงๆ
แน่นอนครับว่าเราคงไม่สามารถต่อเชื่อมจุดเป็นรูปร่างได้เมื่อผมอยู่ที่ Reed แต่เมื่อตอนสิบปีผ่านไปทุกอย่างก็เห็นได้ชัด ผม ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า เราไม่สามารถต่อจุดให้เป็นรูปร่างได้โดยการมองไปข้างหน้า เราจะทำได้ก็ต่อเมื่อเรามองย้อนหลังไป (ถ้านึกไม่ออกให้นึกถึงเวลาเราเชื่อมจุดเป็นรูปต่าง ๆ ถ้าเราเอากระดาษปิดจุดที่เราต่อมาแล้วเราจะต่อไปข้างหน้าไม่ถูก) ฉะนั้นขอให้เชื่อว่าจุดต่าง ๆ ที่ผ่านมานั้น อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราในวันข้างหน้า เราต้องเชื่อในอะไรซักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความมุ่งมั่นตั้งใจ ชะตาชีวิตหรือกรรม อะไรก็ได้ วิธีคิดแบบนี้ไม่ทำให้ผมผิดหวังท้อแท้ แต่กลับสร้างสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นกับชีวิตผมมากมาย
+ เรื่องที่สองที่จะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับความรักและการสูญเสียครับ +
ผมโชคดีที่ได้พบกับสิ่งที่ผมรักที่จะทำตั้งแต่วัยหนุ่ม วอซ (Stephen Wozniak ผู้ร่วมก่อตั้ง Apple) กับผม เริ่มทำคอมพิวเตอร์แอปเปิลกันที่โรงรถของพ่อแม่ผม ตอนผมอายุ 20 เราทำงานกันอย่างหนัก ภายในระยะเวลา 10 ปี แอปเปิลที่เริ่มจากเราสองคนในโรงรถเติบโตขึ้น มีสินทรัพย์ถึง 2,000 ล้านเหรียญ มีพนักงานกว่า 4,000 คน เราเพิ่งสร้างคอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุดคือ แมคอินทอช
ตอนผมเพิ่งย่างสามสิบ แต่ผมกลับถูกไล่ออก หลายคนอาจสงสัยว่าผมถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตัวเองก่อตั้งมาได้ยังไง คือเมื่อแอปเปิลเริ่มเข้าที่และเติบโต เราก็หาคนที่เราคิดว่าเก่งมาร่วมบริหาร แรกก็ไปได้ดี แต่พอซักพัก วิสัยทัศน์เราก็เริ่มไม่ตรงกันหนักเข้าก็กลายเป็นความขัดแย้ง และในที่สุดคณะกรรมการบริหารก็เลือกข้างเขา และผมก็เป็นฝ่ายต้องออกมา เป็นการออกที่คนรู้กันทั่วไปใหญ่โต สิ่งที่เป็นหัวใจในชีวิตของผมมลายหายไป ชีวิตผมเหมือนไม่เหลืออะไรเลย
ช่วงนั้นผมไม่รู้ว่าจะทำอะไรอยู่หลายเดือน ผมรู้สึกว่าผมได้ปล่อยให้ความเป็นเจ้าของกิจการหลุดลอยไป ทั้ง ๆ ที่มีโอกาส ช่วงหลังผมได้พบกับ David Packard (หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง HP) และ Bob Noyce (หนึ่งใน ผู้ร่วมก่อตั้ง Intel) เพื่อขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้น คนทั่วไปมองว่านี่เป็นความล้มเหลวของผม จนผมคิดจะออกจากธุรกิจไอทีนี่แล้ว แต่แล้วผมก็รู้สึกว่าเริ่มคิดอะไรบางอย่างได้ ผมยังรักในสิ่งที่ผมทำ สิ่งที่เกิดขึ้นที่แอปเปิลไม่ได้ทำให้ความรักของผม กับคอมพิวเตอร์ลดลงแม้แต่น้อย ถึงผมจะถูกปฏิเสธ แต่ผมก็ยังรักมัน ผมจึงตัดสินใจเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่ง
ตอนนั้นผมอาจจะยังไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็น อย่างไร แต่ถ้ามามองตอนนี้ การออกจากแอปเปิล กลับถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิตของผม ความรู้สึกหนักอกที่แบกรับไว้ว่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ กลับถูกแทนที่ด้วยการที่ไม่มีอะไรต้องเสีย จากการที่เป็นผู้ที่เริ่มต้นใหม่ ผมกลายเป็นคนที่จะไม่มั่นใจกับอะไรมากจนเกินไป และที่สำคัญ มันเป็นการปลดปล่อยตัวเอง ให้เข้าสู่ช่วงที่ถือว่ามีพลังสร้างสรรค์มากที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิต


“ผมค่อนข้างมั่นใจว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่มีวันเกิดขึ้น ถ้าผมไม่ถูกไล่ออกจากแอปเปิล ถือว่าเป็นการให้ยาที่แรงสุด ๆ แต่ก็ถือว่าถูกกับคนไข้ บางทีชีวิตก็เล่นกับเราแรง แต่ขออย่าเสียความเชื่อมั่นศรัทธา ผมเชื่อว่าสิ่งที่ทำให้ผมก้าวหน้ามาถึงวันนี้ได้ ก็เพราะผมรักในสิ่งที่ผมทำ พวกคุณต้องค้นหาว่าคุณรักอะไร ความจริงมันก็คล้าย ๆ กับการหาแฟนซักคนนั่นแหละ จะว่าไปแล้วการทำงานนี่ถือเป็นครึ่งหนึ่งของชีวิตของเรา ทางเดียวที่จะทำให้เรามีความพึงพอใจสูงสุดก็คือ การได้ทำในสิ่งที่เราเชื่อว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ มีความหมาย และการ ที่จะทำให้การทำงานที่ยิ่งใหญ่ให้ประสบความสำเร็จก็คือ การรักในสิ่งที่ทำ …ถ้าตอนนี้ยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ก็จงค้นหาต่อไป อย่าเพิ่งหยุด คุณจะรู้ได้ด้วยใจคุณเองเมื่อคุณค้นพบมัน และมันจะทำให้เราดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นจงค้นหาต่อไป”
+ เรื่องที่สาม… ที่จะเล่าให้ฟังวันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความตาย +
เมื่อตอนอายุ 17 ผมอ่านเจอคำพูดของคน ๆ หนึ่งพูดไว้ว่า “ถ้าคุณใช้ชีวิตในแต่ละวัน เหมือนกับเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของคุณ สักวันคุณจะดีขึ้นแน่นอน” ผม ประทับใจมาก และตลอด 30 ปีตั้งแต่นั้นมา ผมจะมองกระจกและถามตัวเองทุกเช้าว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของผม ผมอยากทำอะไร และวันนี้จะทำอะไรบ้าง ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่คำตอบออกมาว่า ไม่รู้จะทำอะไรติดต่อกันหลายๆ วัน ผมรู้ว่าผมต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างแล้ว
การ ระลึกอยู่เสมอว่าเราต้องตายเร็ว ๆ นี้เป็นอาวุธที่สำคัญที่สุด ที่ผมใช้ในยามต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญ ๆ ในชีวิต เพราะเกือบจะทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังต่าง ๆ จากคนภายนอก ความภาคภูมิใจ การกลัว การเสียหน้า หรือล้มเหลว ล้วนแต่ไม่เป็นสาระทั้งสิ้น เมื่อเราต้องเผชิญกับความตาย มันทำให้เรานึกถึงแต่สิ่งที่เป็นแก่น เป็นความสำคัญที่สุดเท่านั้น การระลึกว่า คุณกำลังจะตายเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะหลุดพ้นจากความคิดที่กลัวการสูญเสียอะไรบางอย่าง ชีวิตคุณมีแต่ตัวนี่ เพราะฉะนั้นก็ไม่มีเหตุอะไรที่ไม่เดินตามความฝันของตัวเอง

เมื่อปีที่แล้วผมไปตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง หมอทำสแกนผมราวเจ็ดโมงครึ่ง และเห็นชัดว่ามีก้อนเนื้อที่ตับอ่อน ผมเองไม่รู้แม้กระทั่งว่าตับอ่อนคืออะไร หมอบอกว่าเท่าที่ดูแล้วค่อนข้างชัดเจน ว่าเป็นมะเร็งชนิดที่ไม่มีทางรักษา และบอกว่าผมน่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน 3-6 เดือน หมอแนะนำว่าให้กลับบ้าน และจัดการอะไรต่าง ๆ ให้เรียบร้อย พูดแบบชาวบ้านก็คือ หมอบอกให้ไปเตรียมตัวตายนั่นเอง มันหมายความว่าคุณต้องรีบคุยกับลูก ในสิ่งที่คุณคิดว่าจะคุยในอีกสิบปีข้างหน้า หมายความว่าต้องเตรียมสิ่งต่าง ๆ ไว้ให้ครอบครัวเมื่อคุณต้องจากไป และหมายความความว่าคุณต้องลาโลกนี้ไปแล้ว
ผมอยู่กับความรู้สึกว่าเป็นมะเร็งและต้องตายเร็ว ๆ นี้ทั้งวัน จนกระทั่งตอนเย็นหมอต้องตัดเอาเนื้อเยื่อเพื่อวิเคราะห์อีกครั้ง หมอใช้กล้องส่องภายในสอดผ่านลำคอ ผ่านกระเพาะ ลงลำไส้เล็ก และใช้เข็มเล็ก ๆ เจาะก้อนเนื้อเล็ก ๆ ในตับอ่อนออกมาตรวจ ตอนนั้นผมถูกวางยางสลบอยู่แต่ภรรยาผมบอกภายหลังว่า เมื่อหมอตรวจเนื้อเยื่อผ่านกล้องจุลทรรศน์อีกครั้งหนึ่งก็พบว่า ผมเป็นมะเร็งแบบที่พบได้น้อยมากคือ เป็นชนิดที่รักษาได้ด้วยการผ่าตัด และผมก็เข้ารับการผ่าตัดรักษาจนหายดีแล้วในตอนนี้ นี่ถือว่าเป็นการเข้าใกล้ความตายมากที่สุดของผม และผมก็หวังว่ามันจะรักษาสถิติที่ใกล้ที่สุด ไปอีกหลายสิบปีข้างหน้าด้วย
การที่ผมผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ ก็ทำให้ผมเล่าให้พวกคุณฟังได้อย่างเต็มที่ ไม่ใช่เพียงแค่ความคิดเชิงหลักการอย่างเดียว ไม่มีใครอยากตายหรอกครับ แม้แต่คนที่อยากไปสวรรค์ก็ไม่ต้องการตายเพื่อที่จะไปถึงที่นั่น แต่ทุกคนต้องตายครับ ไม่มีใครหลีกพ้นความตายได้ และมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นเพราะผมถือว่า ความตายน่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ดีที่สุดของชีวิต ความตายทำให้ชีวิตเกิดการเปลี่ยนแปลง มันเป็นการกำจัดคนเก่าเพื่อเปิดทางให้คนใหม่ ตอนนี้คนใหม่คือพวกคุณทั้งหลาย และจะค่อย ๆ แก่ไปในที่สุดและจะถูกกำจัดไป ขอโทษที่ผมอาจจะพูดอะไรที่เป็นนิยายไปหน่อย แต่ก็เป็นความจริงนะครับ
ชีวิตของพวกคุณมีจำกัดครับ จงอย่าเสีย เวลาใช้ชีวิตอยู่บนชีวิตของคนอื่น อย่าตกอยู่ในหลุมพรางของความเชื่ออะไรบางอย่าง ซึ่งทำให้เราดำรงชีวิตอยู่บนความคิดของคนอื่น อย่าให้ความคิดของคนอื่นมากดความต้องการที่แท้จริงภายในใจของเรา สิ่งที่สำคัญนะครับ จงมีความกล้าหาญที่จะก้าวเดินตามสิ่งที่หัวใจเราเรียกร้อง ซึ่งตอนนี้อาจจะรู้แล้วว่าคุณต้องการเป็นอะไร อย่างอื่นเป็นเรื่องรองทั้งสิ้น

ตอนผมหนุ่ม ๆ มีสิ่งพิมพ์ที่เรียกว่า The Whole Earth Catalog ซึ่งได้รับความนิยมมากในยุคนั้น คนที่ทำมันขึ้นมาชื่อ Stewart Brand ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากนี่เท่าไหร่ คือที่Menlo Park ใน The Whole Earth Catalog มีบทกวี ดี ๆ เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตเยอะ ตอนนั้นเป็นช่วงปลายทศวรรษ 1960 ก่อนที่จะมีพีซี เพราะฉะนั้นนิตยสารนี้จึงทำขึ้นด้วยพิมพ์ดีดมือ กรรไกร และกล้องโพลารอยด์ มันก็คล้าย ๆ กับ Google ฉบับหนังสือนั่นแหละ คือเกิดก่อน Google 35 ปี มันเป็นอะไรที่อุดมคติ มีคำสอน ข้อคิดเตือนใจดี ๆ มากมาย

ตอนผมหนุ่ม ๆ มีสิ่งพิมพ์ที่เรียกว่า The Whole Earth Catalog ซึ่งได้รับความนิยมมากในยุคนั้น คนที่ทำมันขึ้นมาชื่อ Stewart Brand ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากนี่เท่าไหร่ คือที่Menlo Park ใน The Whole Earth Catalog มีบทกวี ดี ๆ เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตเยอะ ตอนนั้นเป็นช่วงปลายทศวรรษ 1960 ก่อนที่จะมีพีซี เพราะฉะนั้นนิตยสารนี้จึงทำขึ้นด้วยพิมพ์ดีดมือ กรรไกร และกล้องโพลารอยด์ มันก็คล้าย ๆ กับ Google ฉบับหนังสือนั่นแหละ คือเกิดก่อน Google 35 ปี มันเป็นอะไรที่อุดมคติ มีคำสอน ข้อคิดเตือนใจดี ๆ มากมาย
Stewart ออก Catalog หลายฉบับแต่ทุกอย่างก็ย่อมมีจุดสิ้นสุด มาถึงฉบับสุดท้ายเมื่อราวกลาง ทศวรรษ 1970 ซึ่งตอนนั้นผมก็อายุเท่า ๆ กับพวกคุณนี่แหละ ในปกหลังของฉบับสุดท้ายนี่เป็นรูปถ่ายถนน ในชนบทยามเช้า เป็นภาพที่หลายคนคงเคยสัมผัส ถ้าเผื่อเป็นคนที่ชอบเดินทางท่องเที่ยว ด้านล่างของภาพเขียนว่า “Stay Hungry, Stay Foolish.” มันเป็นเหมือนการกล่าวอำลาของพวกเขาด้วย “จง เป็นคนที่หิวอยู่เสมอจงเป็นคนที่โง่อยู่เสมอ” เป็นสิ่งที่ผมใช้เตือนตัวเองตลอดเวลา และในโอกาสที่พวกคุณจะจบการศึกษาออกไปเผชิญโลกกว้าง ผมขอให้พวกคุณจงเป็นคนที่ Stay Hungry และ Stay Foolish ..”

เป็นอย่างไรบ้างครับ กับปาฐกถาที่ดูเหมือนจะยาว แต่กลับมีเรื่องราวเป็นข้อคิดอันเป็นประโยชน์มากมายเช่นนี้ ผมเชื่อว่าในช่วงชีวิตของแต่ละคน คงไม่มีใครจะเป็นผู้รู้ ฉลาด ได้ตลอดเวลา หรือไม่เคยเดินไปในทางที่ผิดพลาด ดังนั้นการเป็นคนที่กระหาย ใคร่รู้อยู่เสมอ หรือ การเป็นคนโง่เขลา ก็เหมือนกับทำให้เราพร้อมที่จะเรียนรู้จากสิ่งที่พลาดนั้น ทั้งนี้เมื่อชีวิตได้เปิดโอกาสให้เราได้เลือกทำตามที่ใจปรารถนา และเวลาของชีวิตก็ไม่แน่นอนอีก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขอเพียงมุ่งมั่น ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ….รวมทั้ง อย่าท้อ หรือพอล้มแล้วต้องรีบลุก หากชีวิตต้องคลุกฝุ่นบ้าง อาจจะคุ้มกับการรอคอยนะครับ….
credit จากเว็บ http://webmaster.kapook.com
ทำให้ผมรู้อะไรดีๆขึ้นเยอะ หูตาสว่างเลยอยากให้อ่านกันครับ =[^_^]= ให้กำลังใจดีๆ
ต่อเพิ่มเติมถ้าใครฟังใครภาษาอังกฤษไม่ออกมีเวอร์ชั่นไทยครับดีมากๆ
ต่อเพิ่มเติมถ้าใครฟังใครภาษาอังกฤษไม่ออกมีเวอร์ชั่นไทยครับดีมากๆ
ป้ายกำกับ:
สูตรลับความสำเร็จ
Subscribe to:
Posts (Atom)