รวมสัตว์ในเทพนิยาย และตำนาน (Creatures of Myth and Legend)
ที่มา :
1. บทความนี้ เรียบเรียงจากหนังสือ The Writer’s Complete Fantasy Reference บทที่ 7 เขียนโดย Andrew P. Miller และ Daniel Clark ตีพิมพ์โดย Writer’s Digest Books
2. บทความนี้ เรียบเรียงขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ ไม่อนุญาตให้ใช้ในเชิงพาณิชย์ ผู้อ่านสามารถติชมบทความได้ที่ http://woratana.exteen.com/
เริ่มเรียงตามตัวอักษร A-Z เลยละกันนะครับ
ขอเชิญทุกท่านติดตามชมได้ ณ บัดนี้
1.Banshee (แบนชี)
ตามตำนานชาวไอร์แลนด์ (Irish) แบนชีเป็นวิญญาณผู้หญิงที่จะร้องเสียงโหยหวนเมื่อได้สัมผัสกลิ่นแห่งความตาย เธอจะติดตามบางครอบครัวเป็นพิเศษ และร้องเสียงโหยหวนเมื่อมีสมาชิกในครอบครัวใกล้จะตาย แบนชีมีผมพลิ้วไหวและดวงตาสีแดงจากการร่ำไห้ บางตำนานบอกว่าเธอมีช่องจมูกรูเดียว
2.Bunyips (บันยิป)
กล่าวกันว่าบันยิปมีบ้านเกิดอยู่ที่ทางน้ำในออสเตรเลีย มันมักจะถูกบอกเล่าว่ามีหางเหมือนจระเข้ และส่วนอื่นเหมือนกับจิ้งจอก นกอีมู หรือคน พวกมันสามารถมีแผงคอหรือศีรษะที่เต็มไปด้วยวัชพืช และเท้าของมันหันกลับด้าน สิ่งหนึ่งที่ทุกตำนานเชื่อเหมือนกัน คือ เสียงร้องไห้ของบันยิปจะดังสนั่นหวั่นไหวอย่างน่ากลัว เมื่อไรที่คุณได้ยินเสียงดังจากหนองน้ำ...นั่นแหละบันยิปล่ะ อ้อ! ระวังอย่าเข้าใกล้มันเชียว เพราะบันยิปกิน (จริง ๆ คือ กลืน) คน และชอบกินผู้หญิงกับเด็กเป็นพิเศษด้วย
3.Chimera (คิเมร่า)
ตัวนี้น่าจะคุ้นกันดี คิเมร่าเป็นสัตว์ที่มีหัวเป็นสิงโต ตัวเป็นแพะ และหางเป็นงู ลมหายใจของมันก่อให้เกิดเพลิงร้อนแรงถึงตายได้เชียวนะ
4.Cyclopes (ไซคลอป)
ไซคลอปคือยักษ์ที่มีตาเดียวอยู่กลางใบหน้า กล่าวกันว่าไซคลอปตัว (?) แรกเป็นบุตรของไกอา พระแม่ธรณี กับยูเรนัส สวรรค์ชั้นฟ้า (Uranus, the Heavenly Sky ..แต่งงานกับท้องฟ้าหรือเนี่ย!
5.Djinn (จิน)
อาจไม่คุ้นหูกัน แต่ถ้าบอกว่าเขียนได้อีกหลายคำ ทั้ง Genie, Jinni, Djinni และDjin ก็น่าจะร้องอ๋อ จริง ๆ แล้วตัวนี้คือ ยักษ์จินนี่ ที่เราคุ้นตาในอะลาดินนั่นแหละ มันมาจากตำนานของชาวอาหรับและทางตะวันออก จินเป็นวิญญาณที่มีความสามารถด้านเวทมนตร์สูง พวกมันอาจจะใจดีหรือมุ่งร้ายต่อมนุษย์ก็ได้ ผู้วิเศษสามารถร่ายมนตร์เพื่อบังคับให้วิญญาณเหล่านี้ทำตามคำสั่งได้ จินมักจะถูกผูกมัดกับแหวนหรือเครื่องประดับ (หัวสูงนิ..) แต่ก็เป็นไปได้ที่จะอยู่ในสิ่งอื่น เช่น ตะเกียงอะลาดิน เป็นต้น
ที่มา :
1. บทความนี้ เรียบเรียงจากหนังสือ The Writer’s Complete Fantasy Reference บทที่ 7 เขียนโดย Andrew P. Miller และ Daniel Clark ตีพิมพ์โดย Writer’s Digest Books
2. บทความนี้ เรียบเรียงขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้ ไม่อนุญาตให้ใช้ในเชิงพาณิชย์ ผู้อ่านสามารถติชมบทความได้ที่ http://woratana.exteen.com/
เริ่มเรียงตามตัวอักษร A-Z เลยละกันนะครับ
ขอเชิญทุกท่านติดตามชมได้ ณ บัดนี้
1.Banshee (แบนชี)
ตามตำนานชาวไอร์แลนด์ (Irish) แบนชีเป็นวิญญาณผู้หญิงที่จะร้องเสียงโหยหวนเมื่อได้สัมผัสกลิ่นแห่งความตาย เธอจะติดตามบางครอบครัวเป็นพิเศษ และร้องเสียงโหยหวนเมื่อมีสมาชิกในครอบครัวใกล้จะตาย แบนชีมีผมพลิ้วไหวและดวงตาสีแดงจากการร่ำไห้ บางตำนานบอกว่าเธอมีช่องจมูกรูเดียว
2.Bunyips (บันยิป)
กล่าวกันว่าบันยิปมีบ้านเกิดอยู่ที่ทางน้ำในออสเตรเลีย มันมักจะถูกบอกเล่าว่ามีหางเหมือนจระเข้ และส่วนอื่นเหมือนกับจิ้งจอก นกอีมู หรือคน พวกมันสามารถมีแผงคอหรือศีรษะที่เต็มไปด้วยวัชพืช และเท้าของมันหันกลับด้าน สิ่งหนึ่งที่ทุกตำนานเชื่อเหมือนกัน คือ เสียงร้องไห้ของบันยิปจะดังสนั่นหวั่นไหวอย่างน่ากลัว เมื่อไรที่คุณได้ยินเสียงดังจากหนองน้ำ...นั่นแหละบันยิปล่ะ อ้อ! ระวังอย่าเข้าใกล้มันเชียว เพราะบันยิปกิน (จริง ๆ คือ กลืน) คน และชอบกินผู้หญิงกับเด็กเป็นพิเศษด้วย
3.Chimera (คิเมร่า)
ตัวนี้น่าจะคุ้นกันดี คิเมร่าเป็นสัตว์ที่มีหัวเป็นสิงโต ตัวเป็นแพะ และหางเป็นงู ลมหายใจของมันก่อให้เกิดเพลิงร้อนแรงถึงตายได้เชียวนะ
4.Cyclopes (ไซคลอป)
ไซคลอปคือยักษ์ที่มีตาเดียวอยู่กลางใบหน้า กล่าวกันว่าไซคลอปตัว (?) แรกเป็นบุตรของไกอา พระแม่ธรณี กับยูเรนัส สวรรค์ชั้นฟ้า (Uranus, the Heavenly Sky ..แต่งงานกับท้องฟ้าหรือเนี่ย!
5.Djinn (จิน)
อาจไม่คุ้นหูกัน แต่ถ้าบอกว่าเขียนได้อีกหลายคำ ทั้ง Genie, Jinni, Djinni และDjin ก็น่าจะร้องอ๋อ จริง ๆ แล้วตัวนี้คือ ยักษ์จินนี่ ที่เราคุ้นตาในอะลาดินนั่นแหละ มันมาจากตำนานของชาวอาหรับและทางตะวันออก จินเป็นวิญญาณที่มีความสามารถด้านเวทมนตร์สูง พวกมันอาจจะใจดีหรือมุ่งร้ายต่อมนุษย์ก็ได้ ผู้วิเศษสามารถร่ายมนตร์เพื่อบังคับให้วิญญาณเหล่านี้ทำตามคำสั่งได้ จินมักจะถูกผูกมัดกับแหวนหรือเครื่องประดับ (หัวสูงนิ..) แต่ก็เป็นไปได้ที่จะอยู่ในสิ่งอื่น เช่น ตะเกียงอะลาดิน เป็นต้น
6.Dragons (ดรากอน - มังกร)
ตัวนี้น่าจะรู้จักกันดียิ่งกว่าห้าตัวแรก คำอ่าน ดรากอน นั้นผมหมายถึงสำเนียงคนไทยนะครับ (ถ้าให้อ่านตามจริง จะประมาณ ดรา-เกิน หรือ แดร-เกิน) มังกรพบเจอได้บ่อย ๆ ในเทพนิยายและตำนานต่าง ๆ สำหรับตำนานของชาวบาบิลอน (Babylonian Myth) ‘Tiamat (เทียแมท)’ เป็นมังกรผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้ต่อสู้กับพระเจ้า Marduk และในนิทานของอังกฤษ นักบุญจอร์จได้ฆ่ามังกรเพื่อปกป้องสาวพรหมจรรย์
มังกรในแต่ละตำนานจะแตกต่างไปตามสถานที่ เช่น มังกรของตำนานฝรั่งจะไม่เหมือนมังกรของจีน ถ้าต้องการหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับมังกร แนะนำให้เข้าไปดูใน วิกิพีเดีย ครับ (http://th.wikipedia.org/ )
ตัวนี้น่าจะรู้จักกันดียิ่งกว่าห้าตัวแรก คำอ่าน ดรากอน นั้นผมหมายถึงสำเนียงคนไทยนะครับ (ถ้าให้อ่านตามจริง จะประมาณ ดรา-เกิน หรือ แดร-เกิน) มังกรพบเจอได้บ่อย ๆ ในเทพนิยายและตำนานต่าง ๆ สำหรับตำนานของชาวบาบิลอน (Babylonian Myth) ‘Tiamat (เทียแมท)’ เป็นมังกรผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้ต่อสู้กับพระเจ้า Marduk และในนิทานของอังกฤษ นักบุญจอร์จได้ฆ่ามังกรเพื่อปกป้องสาวพรหมจรรย์
มังกรในแต่ละตำนานจะแตกต่างไปตามสถานที่ เช่น มังกรของตำนานฝรั่งจะไม่เหมือนมังกรของจีน ถ้าต้องการหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับมังกร แนะนำให้เข้าไปดูใน วิกิพีเดีย ครับ (http://th.wikipedia.org/ )
.Golem (โกเลม)
ว่ากันว่าพระชาวยิวในเมืองปราก (Prague) เมืองหลวงของเชโกสโลวะเกีย เป็นคนสร้างโกเลมขึ้น ในตอนนั้นชาวยิวที่อาศัยอยู่ในสลัมของปรากกำลังถูกข่มเหง โกเลมจึงเกิดขึ้นเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้อง (Protection) โกเลมถูกสร้างขึ้นจากดินเหนียว และจะมีชีวิตเมื่อพระเขียนคำว่า shem (“ชื่อ”) บนกระดาษหนังแล้วใส่เข้าไปในปากของมัน นอกจากนั้นพระยังเขียนคำว่า emet (“สัจธรรม” Truth) บนหน้าผากของมัน
โกเลมมีร่ายกายที่แข็งแกร่งและคอยปกป้องชาวยิวตลอดมา อย่างไรก็ตาม ผู้คนในเมืองเริ่มเกรงกลัวสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้น พระจึงได้ทำลายโกเลมด้วยการเปลี่ยนคำว่า emet เป็น met ซึ่งหมายถึง “ความตาย
ว่ากันว่าพระชาวยิวในเมืองปราก (Prague) เมืองหลวงของเชโกสโลวะเกีย เป็นคนสร้างโกเลมขึ้น ในตอนนั้นชาวยิวที่อาศัยอยู่ในสลัมของปรากกำลังถูกข่มเหง โกเลมจึงเกิดขึ้นเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้อง (Protection) โกเลมถูกสร้างขึ้นจากดินเหนียว และจะมีชีวิตเมื่อพระเขียนคำว่า shem (“ชื่อ”) บนกระดาษหนังแล้วใส่เข้าไปในปากของมัน นอกจากนั้นพระยังเขียนคำว่า emet (“สัจธรรม” Truth) บนหน้าผากของมัน
โกเลมมีร่ายกายที่แข็งแกร่งและคอยปกป้องชาวยิวตลอดมา อย่างไรก็ตาม ผู้คนในเมืองเริ่มเกรงกลัวสิ่งที่พวกเขาสร้างขึ้น พระจึงได้ทำลายโกเลมด้วยการเปลี่ยนคำว่า emet เป็น met ซึ่งหมายถึง “ความตาย
.Harpies (ฮาร์ปี)
ฮาร์ปีมักถูกวาดภาพเป็นสัตว์ที่มีศีรษะและหน้าอกเหมือนผู้หญิง แต่ร่างกายเป็นนก (คล้าย ๆ กินรีที่เรารู้จักกันนั่นแหละ) มันเป็นที่รู้จักในเรื่องกลิ่นอันเหม็นอย่างร้ายกาจ ซึ่งจะทำลายทุกอย่างที่เข้าใกล้
ฮาร์ปีมักถูกวาดภาพเป็นสัตว์ที่มีศีรษะและหน้าอกเหมือนผู้หญิง แต่ร่างกายเป็นนก (คล้าย ๆ กินรีที่เรารู้จักกันนั่นแหละ) มันเป็นที่รู้จักในเรื่องกลิ่นอันเหม็นอย่างร้ายกาจ ซึ่งจะทำลายทุกอย่างที่เข้าใกล้
.Hell Hounds (เฮล ฮาวนด์)
แปลตรงตัวคือ “สุนัขล่าเนื้อแห่งนรก” นั่นเองครับ มีหลายตำนานที่พูดถึงสุนัขน่ากลัวซึ่งอาศัยอยู่ใต้โลกพวกนี้ ตำนานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือ “Cerberus (เซอร์บิรุส)” (แต่ผมเคยอ่านเจอเค้าเรียกกันว่า เคลเบรอส อ่ะคับ-นาย Touru) สุนัขสามหัว มีหางเป็นงู ผู้เฝ้าประตูนรก (Way to Hades - Hades แปลว่านรกหรือพญายมครับ) เซอร์บิรุสนั้นดุร่ายป่าเถื่อน แต่ก็ถูกเฮอร์คิวลิสปราบลงได้ หรือถูกกล่อมให้หลับด้วยเสียงเพลงเมื่อ Orpheus เดินทางมาที่ใต้โลก (ในแฮร์รี่ก็อิงกับตำนานนี้ครับ)
อีกตัวหนึ่งนอกจากเซอร์บิรุส ก็คือ “Garm (การ์ม)” เป็นสุนัขแห่งนรกในตำนานของชาวนอร์สครับ หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อจากเกมออนไลน์ Ragnarok
แปลตรงตัวคือ “สุนัขล่าเนื้อแห่งนรก” นั่นเองครับ มีหลายตำนานที่พูดถึงสุนัขน่ากลัวซึ่งอาศัยอยู่ใต้โลกพวกนี้ ตำนานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือ “Cerberus (เซอร์บิรุส)” (แต่ผมเคยอ่านเจอเค้าเรียกกันว่า เคลเบรอส อ่ะคับ-นาย Touru) สุนัขสามหัว มีหางเป็นงู ผู้เฝ้าประตูนรก (Way to Hades - Hades แปลว่านรกหรือพญายมครับ) เซอร์บิรุสนั้นดุร่ายป่าเถื่อน แต่ก็ถูกเฮอร์คิวลิสปราบลงได้ หรือถูกกล่อมให้หลับด้วยเสียงเพลงเมื่อ Orpheus เดินทางมาที่ใต้โลก (ในแฮร์รี่ก็อิงกับตำนานนี้ครับ)
อีกตัวหนึ่งนอกจากเซอร์บิรุส ก็คือ “Garm (การ์ม)” เป็นสุนัขแห่งนรกในตำนานของชาวนอร์สครับ หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อจากเกมออนไลน์ Ragnarok
Hippocampus (ฮิปโปแคมปัส)
อาจจะไม่คุ้นชื่อนะครับสำหรับตัวนี้ ฮิปโปแคมปัสเป็นสัตว์ครึ่งม้าครึ่งปลา ชื่อของมันแปลว่า “Sea Horse” ครับ (จะแปลว่า ม้าทะเล หรือ ม้าน้ำ ดีล่ะ...) มันมีหัวและขาหน้าเหมือนกับม้า แต่เท้าเป็นพังผืดและแผงคอมีครีบ ลำตัวของมันยาวเหมือนม้า ส่วนท่อนล่างเป็นหางปลา
อาจจะไม่คุ้นชื่อนะครับสำหรับตัวนี้ ฮิปโปแคมปัสเป็นสัตว์ครึ่งม้าครึ่งปลา ชื่อของมันแปลว่า “Sea Horse” ครับ (จะแปลว่า ม้าทะเล หรือ ม้าน้ำ ดีล่ะ...) มันมีหัวและขาหน้าเหมือนกับม้า แต่เท้าเป็นพังผืดและแผงคอมีครีบ ลำตัวของมันยาวเหมือนม้า ส่วนท่อนล่างเป็นหางปลา
Hippogriff (ฮิปโปกริฟ)
ชื่อเต็ม ๆ คือ Hippogriffin (ฮิปโปกริฟฟิน) บางคนอาจรู้จักเจ้าตัวนี้จากแฮร์รี่ พอตเตอร์มาแล้วนะครับ ฮิปโปกริฟสืบเชื้อสายมาจากกริฟฟอน (Gryphon สัตว์ครึ่งนกครึ่งสิงโต) กับม้า มันมีลำตัวเหมือนม้า แต่ขาหน้า เล็บ ปีก และจะงอยปากเป็นเหมือนกริฟฟอน ฮิปโปกริฟมักถูกยกไปเกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์ กริฟฟอนและม้าในรถม้าของอพอลโล และเปกาซัส
ชื่อเต็ม ๆ คือ Hippogriffin (ฮิปโปกริฟฟิน) บางคนอาจรู้จักเจ้าตัวนี้จากแฮร์รี่ พอตเตอร์มาแล้วนะครับ ฮิปโปกริฟสืบเชื้อสายมาจากกริฟฟอน (Gryphon สัตว์ครึ่งนกครึ่งสิงโต) กับม้า มันมีลำตัวเหมือนม้า แต่ขาหน้า เล็บ ปีก และจะงอยปากเป็นเหมือนกริฟฟอน ฮิปโปกริฟมักถูกยกไปเกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์ กริฟฟอนและม้าในรถม้าของอพอลโล และเปกาซัส
Hoop Snake (ฮูปสเนค)
ฮูปสเนคเป็นสัตว์ในนิทานพื้นบ้านของชาวอเมริกา มันเป็นงูที่อมปลายหางของตัวเองไว้ในปาก และเคลื่อนที่โดยการหมุนตัวบนพื้นดิน ฮูปสเนคสามารถเคลื่อนที่ได้รวดเร็วจนไม่มีใครหนีพ้น วิธีเดียวที่จะหนีจากมันก็คือกระโดดลอดผ่านรูที่เกิดจากการอมปลายหางของมัน จะทำให้ฮูปสเนคสับสนและเคลื่อนที่ผ่านเราไปโดยย้อนกลับไม่ทัน
บางครั้งฮูปสเนคก็เกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์ “Uroboros (อุโรโบรอส)” (ถ้าอ่าน Full Metal Alchemist น่าจะเคยได้ยินนะ) สัญลักษณ์แห่งความอมตะและจักรวาลรวมเป็นหนึ่งในศิลปะของกรีกและอียิปต์ สัญลักษณ์อุโรโบรอสแสดงให้เห็นรูปของงูที่มีปลายหางของมันอยู่ในปาก ตัวของมันโค้งเป็นวงกลม พญางูแห่งมิดการ์ดในตำนานของชาวนอร์สก็โอบล้อมโลกด้วยการอมหางของมันไว้ในปากเช่นกัน
ฮูปสเนคเป็นสัตว์ในนิทานพื้นบ้านของชาวอเมริกา มันเป็นงูที่อมปลายหางของตัวเองไว้ในปาก และเคลื่อนที่โดยการหมุนตัวบนพื้นดิน ฮูปสเนคสามารถเคลื่อนที่ได้รวดเร็วจนไม่มีใครหนีพ้น วิธีเดียวที่จะหนีจากมันก็คือกระโดดลอดผ่านรูที่เกิดจากการอมปลายหางของมัน จะทำให้ฮูปสเนคสับสนและเคลื่อนที่ผ่านเราไปโดยย้อนกลับไม่ทัน
บางครั้งฮูปสเนคก็เกี่ยวข้องกับสัญลักษณ์ “Uroboros (อุโรโบรอส)” (ถ้าอ่าน Full Metal Alchemist น่าจะเคยได้ยินนะ) สัญลักษณ์แห่งความอมตะและจักรวาลรวมเป็นหนึ่งในศิลปะของกรีกและอียิปต์ สัญลักษณ์อุโรโบรอสแสดงให้เห็นรูปของงูที่มีปลายหางของมันอยู่ในปาก ตัวของมันโค้งเป็นวงกลม พญางูแห่งมิดการ์ดในตำนานของชาวนอร์สก็โอบล้อมโลกด้วยการอมหางของมันไว้ในปากเช่นกัน
.Hydra (ไฮดรา)
ไฮดราเป็นบุตรของ Echidna กับ Typhon มันอาศัยอยู่ในหนองน้ำของเลอร์นา (Lerna) ไฮดราเป็นสัตว์เก้าหัวที่มีพิษถึงตายได้ และมันมีหัวหนึ่งที่เป็นอมตะ ทุกครั้งที่หัวหนึ่งโดนตัดก็จะงอกขึ้นมาใหม่ได้ (บอสของบางเกมก็เอามุขนี้ไปใช้เหมือนกัน) เฮอร์คิวลิสฆ่าไฮดราโดยการใช้คบไฟลนตรงแผลที่ถูกตัดจนปิดสนิท เพื่อไม่ให้หัวใหม่งอกขึ้นมาได้ และฝังหัวที่เป็นอมตะไว้ใต้ก้อนหิน
ไฮดราเป็นบุตรของ Echidna กับ Typhon มันอาศัยอยู่ในหนองน้ำของเลอร์นา (Lerna) ไฮดราเป็นสัตว์เก้าหัวที่มีพิษถึงตายได้ และมันมีหัวหนึ่งที่เป็นอมตะ ทุกครั้งที่หัวหนึ่งโดนตัดก็จะงอกขึ้นมาใหม่ได้ (บอสของบางเกมก็เอามุขนี้ไปใช้เหมือนกัน) เฮอร์คิวลิสฆ่าไฮดราโดยการใช้คบไฟลนตรงแผลที่ถูกตัดจนปิดสนิท เพื่อไม่ให้หัวใหม่งอกขึ้นมาได้ และฝังหัวที่เป็นอมตะไว้ใต้ก้อนหิน
Jersey Devil (เจอร์ซี เดวิล)
เจอร์ซีเดวิล (หรือ ปีศาจเจอร์ซี) มีหัวเหมือนกับม้าหรือแกะ มีปีกคล้ายกับค้างคาวแต่ใหญ่กว่า ส่วนลำตัวนั้นยาวและเหมือนกับงู ในปี 1909 มีพยานหลายคนได้ยินเสียงน่าขนลุกจากแม่น้ำ Delaware และเห็นสัตว์ประหลาดเรืองแสงบินอยู่บนท้องฟ้า นอกจากนั้นยังพบรอยเท้าแปลกประหลาดบนหลังคาบ้านหรือบริเวณใกล้กับเล้าไก่อีกด้วย
ตำนานเกี่ยวกับเจอร์ซีเดวิลมีหลายตำนาน หนึ่งในนั้นกล่าวว่าเจอร์ซีเดวิลเกิดในปี 1850 จากคำสาปของยิปซีในตัวหญิงสาวคนหนึ่ง และเจ้าปีศาจได้หนีเข้าไปในป่าทันทีที่เกิด ซึ่งยังคงอาศัยอยู่ในป่าจนบัดนี้
เจอร์ซีเดวิล (หรือ ปีศาจเจอร์ซี) มีหัวเหมือนกับม้าหรือแกะ มีปีกคล้ายกับค้างคาวแต่ใหญ่กว่า ส่วนลำตัวนั้นยาวและเหมือนกับงู ในปี 1909 มีพยานหลายคนได้ยินเสียงน่าขนลุกจากแม่น้ำ Delaware และเห็นสัตว์ประหลาดเรืองแสงบินอยู่บนท้องฟ้า นอกจากนั้นยังพบรอยเท้าแปลกประหลาดบนหลังคาบ้านหรือบริเวณใกล้กับเล้าไก่อีกด้วย
ตำนานเกี่ยวกับเจอร์ซีเดวิลมีหลายตำนาน หนึ่งในนั้นกล่าวว่าเจอร์ซีเดวิลเกิดในปี 1850 จากคำสาปของยิปซีในตัวหญิงสาวคนหนึ่ง และเจ้าปีศาจได้หนีเข้าไปในป่าทันทีที่เกิด ซึ่งยังคงอาศัยอยู่ในป่าจนบัดนี้
Kelpies (เคลพี)
เคลพี หมายถึง ม้าน้ำ (Water Horse) เป็นวิญญาณแห่งน้ำตามความเชื่อของชาวสก๊อตแลนด์ ซึ่งอาจทำอันตรายหรือทำให้มนุษย์ถึงตายได้ เคลพีมีหลายรูปร่าง หนึ่งในนั้นคือชายขนดกกับม้าสวยงาม ขณะที่อยู่ในร่างม้า มันจะเชื้อเชิญให้ผู้ชายขี่มัน จากนั้นผู้ขี่ก็จะพบว่าเขาไม่สามารถลงจากมันได้ และมันก็พาเขาไปที่บ้านใต้น้ำของมัน เหยื่อของเคลพีบางส่วนจะแค่จมน้ำตายไป หรือถ้าโชคร้ายก็จะกลายเป็นอาหารของมันด้วย เคลพีในแม่น้ำส่วนใหญ่มักจะทำให้คนจมน้ำเท่านั้น
ขณะที่มันอยู่ในร่างของม้า สามารถแยกแยะจากม้าทั่วไปได้โดยดูที่รอยเท้าด้านหลังของมัน เคลพีสามารถถูกบังคับด้วยบังเหียนได้ แต่มันไม่ใช่ความคิดที่ดีนักในการควบคุมเคลพีหลังจากที่มันมีพลังอำนาจพอจะร่ายคำสาปใส่ผู้อื่น
นอกจากร่างของม้าแล้ว เคลพียังแปลงเป็นชายรูปหล่อเพื่อล่อลวงหญิงสาวเข้าไปในถิ่นพำนักของมันได้ ในร่างนี้เราสามารถแยกแยะได้โดยการดูจากกระดองและสาหร่ายในเส้นผมของมัน
เคลพี หมายถึง ม้าน้ำ (Water Horse) เป็นวิญญาณแห่งน้ำตามความเชื่อของชาวสก๊อตแลนด์ ซึ่งอาจทำอันตรายหรือทำให้มนุษย์ถึงตายได้ เคลพีมีหลายรูปร่าง หนึ่งในนั้นคือชายขนดกกับม้าสวยงาม ขณะที่อยู่ในร่างม้า มันจะเชื้อเชิญให้ผู้ชายขี่มัน จากนั้นผู้ขี่ก็จะพบว่าเขาไม่สามารถลงจากมันได้ และมันก็พาเขาไปที่บ้านใต้น้ำของมัน เหยื่อของเคลพีบางส่วนจะแค่จมน้ำตายไป หรือถ้าโชคร้ายก็จะกลายเป็นอาหารของมันด้วย เคลพีในแม่น้ำส่วนใหญ่มักจะทำให้คนจมน้ำเท่านั้น
ขณะที่มันอยู่ในร่างของม้า สามารถแยกแยะจากม้าทั่วไปได้โดยดูที่รอยเท้าด้านหลังของมัน เคลพีสามารถถูกบังคับด้วยบังเหียนได้ แต่มันไม่ใช่ความคิดที่ดีนักในการควบคุมเคลพีหลังจากที่มันมีพลังอำนาจพอจะร่ายคำสาปใส่ผู้อื่น
นอกจากร่างของม้าแล้ว เคลพียังแปลงเป็นชายรูปหล่อเพื่อล่อลวงหญิงสาวเข้าไปในถิ่นพำนักของมันได้ ในร่างนี้เราสามารถแยกแยะได้โดยการดูจากกระดองและสาหร่ายในเส้นผมของมัน
Lamia (ลาเมีย)
ลาเมียเคยเป็นผู้หญิงธรรมดามาก่อน และได้พบรักกับเทพซูสอีกด้วย เธอถูกสาปให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดด้วยฝีมือของฮีรา ภรรยาของซูสผู้อิจฉาริษยา ลาเมียในร่างสัตว์ประหลาดนั้นมีศีรษะเป็นผู้หญิง ร่างกายเป็นงู มีกีบเท้าแยกออก และหางเป็นสิงโต นอกจากฮีราจะสาปลาเมียแล้ว ยังฆ่าลูก ๆ ของลาเมียด้วย ลาเมียจึงออกฆ่าเด็กเป็นการล้างแค้น
ลาเมียเคยเป็นผู้หญิงธรรมดามาก่อน และได้พบรักกับเทพซูสอีกด้วย เธอถูกสาปให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดด้วยฝีมือของฮีรา ภรรยาของซูสผู้อิจฉาริษยา ลาเมียในร่างสัตว์ประหลาดนั้นมีศีรษะเป็นผู้หญิง ร่างกายเป็นงู มีกีบเท้าแยกออก และหางเป็นสิงโต นอกจากฮีราจะสาปลาเมียแล้ว ยังฆ่าลูก ๆ ของลาเมียด้วย ลาเมียจึงออกฆ่าเด็กเป็นการล้างแค้น
.Manticore (มันติคอร์)
มันติคอร์เป็นสัตว์ประหลาดที่เกี่ยวข้องกับชาวอินเดีย มันติคอร์มีศีรษะเป็นชาย ร่างกายเป็นสิงห์ และหางเหมือนแมงป่อง (บางตำนานบอกว่าหางเหมือนกับลูกบอลหนาม) มันมีฟันสามแถว และสามารถยิงหนามจากหางของมันดั่งเป็นศรธนู มันติคอร์เป็นสัตว์ที่โหดร้ายและตะกละไม่มีที่สิ้นสุด นอกจากนั้นยังชอบล่ามนุษย์ด้วย
มันติคอร์เป็นสัตว์ประหลาดที่เกี่ยวข้องกับชาวอินเดีย มันติคอร์มีศีรษะเป็นชาย ร่างกายเป็นสิงห์ และหางเหมือนแมงป่อง (บางตำนานบอกว่าหางเหมือนกับลูกบอลหนาม) มันมีฟันสามแถว และสามารถยิงหนามจากหางของมันดั่งเป็นศรธนู มันติคอร์เป็นสัตว์ที่โหดร้ายและตะกละไม่มีที่สิ้นสุด นอกจากนั้นยังชอบล่ามนุษย์ด้วย
.Minotaur (มิโนทอร์)
มิโนทอร์เป็นสัตว์ครึ่งคนครึ่งกระทิง ตามตำนานแล้วมันเกิดขึ้นจากราชินีนามว่า Pasiphae กับวัวกระทิง ซึ่งหลังจากที่มิโนทอร์เกิดมา พระราชา Minos ได้สร้างเขาวงกตขึ้นเพื่อขังมันเอาไว้ และหัวเมืองใหญ่ของเอเธนส์ต้องส่งเครื่องบรรณาการเป็นหญิงรับใช้เจ็ดคนกับเด็กเจ็ดคนมาให้ เพื่อนำไปให้มิโนทอร์ ท้ายที่สุดเจ้าชายของกรีกนาม Thesus เป็นผู้ฆ่ามิโนทอร์ระหว่างที่มันหลับอยู่
มิโนทอร์เป็นสัตว์ครึ่งคนครึ่งกระทิง ตามตำนานแล้วมันเกิดขึ้นจากราชินีนามว่า Pasiphae กับวัวกระทิง ซึ่งหลังจากที่มิโนทอร์เกิดมา พระราชา Minos ได้สร้างเขาวงกตขึ้นเพื่อขังมันเอาไว้ และหัวเมืองใหญ่ของเอเธนส์ต้องส่งเครื่องบรรณาการเป็นหญิงรับใช้เจ็ดคนกับเด็กเจ็ดคนมาให้ เพื่อนำไปให้มิโนทอร์ ท้ายที่สุดเจ้าชายของกรีกนาม Thesus เป็นผู้ฆ่ามิโนทอร์ระหว่างที่มันหลับอยู่
.Monstrous Wolves (สุนัขป่ายักษ์)
สุนัขป่าร่างยักษ์พบได้ในตำนานและนิทานพื้นบ้านหลายเรื่อง จากตำนานของชาวนอร์ส Fenris หรือ Fenrir (เฟนริล หรือ เฟนริร์) ผู้เป็นลูกชายของเทพโลกิกับยักษ์ตัวเมีย ได้ถือกำเนิดมาและมีกำลังมากผิดปกติ เหล่าทวยเทพกลัวเขาและพยายามล่ามโซ่แต่เขาก็กระชากโซ่ทุกเส้นจนขาดสะบั้น สุดท้ายเหล่าเทพจึงให้คนแคระหลอมโซ่เวทมนตร์เรียกว่า Gleipnir ที่บางแต่แข็งแกร่ง เฟนริลยอมถูกล่ามด้วยโซ่เวทนั้นหากมีเทพสักองค์ยอมวางมือไว้ในปากของมัน เทพแห่งสงครามนาม Tyr ยอมรับคำท้านั้น เฟนริลพยายามกระชากโซ่แต่ไม่สามารถอะไรโซ่เวทมนตร์ได้ จึงโกรธและกัดมือของ Tyr ขาด ในช่วงสงครามแร็กนาร็อคเฟนริลทำลายโซ่เวทมนตร์ลงจนได้ และออกมาฆ่าเทพโอดินกับ Vidar บุตรแห่งโอดิน
อีกเรื่องหนึ่งก็มาจากตำนานชาวนอร์สอีกเช่นกัน ว่ากันว่าสุนัขป่าตัวใหญ่สองตัวได้ไล่ตามพระอาทิตย์และพระจันทร์ผ่านสรวงสวรรค์ เมื่อมันไล่จับได้จะทำให้เกิดปรากฏการณ์สุริยคราสหรือจันทรคราส โอดินเรียกสุนัขทั้งสองตัวว่า Geri จอมตะกละ กับ Freki ผู้ละโมบ (Geri the Ravenous & Freki the Greedy)
สุนัขป่าร่างยักษ์พบได้ในตำนานและนิทานพื้นบ้านหลายเรื่อง จากตำนานของชาวนอร์ส Fenris หรือ Fenrir (เฟนริล หรือ เฟนริร์) ผู้เป็นลูกชายของเทพโลกิกับยักษ์ตัวเมีย ได้ถือกำเนิดมาและมีกำลังมากผิดปกติ เหล่าทวยเทพกลัวเขาและพยายามล่ามโซ่แต่เขาก็กระชากโซ่ทุกเส้นจนขาดสะบั้น สุดท้ายเหล่าเทพจึงให้คนแคระหลอมโซ่เวทมนตร์เรียกว่า Gleipnir ที่บางแต่แข็งแกร่ง เฟนริลยอมถูกล่ามด้วยโซ่เวทนั้นหากมีเทพสักองค์ยอมวางมือไว้ในปากของมัน เทพแห่งสงครามนาม Tyr ยอมรับคำท้านั้น เฟนริลพยายามกระชากโซ่แต่ไม่สามารถอะไรโซ่เวทมนตร์ได้ จึงโกรธและกัดมือของ Tyr ขาด ในช่วงสงครามแร็กนาร็อคเฟนริลทำลายโซ่เวทมนตร์ลงจนได้ และออกมาฆ่าเทพโอดินกับ Vidar บุตรแห่งโอดิน
อีกเรื่องหนึ่งก็มาจากตำนานชาวนอร์สอีกเช่นกัน ว่ากันว่าสุนัขป่าตัวใหญ่สองตัวได้ไล่ตามพระอาทิตย์และพระจันทร์ผ่านสรวงสวรรค์ เมื่อมันไล่จับได้จะทำให้เกิดปรากฏการณ์สุริยคราสหรือจันทรคราส โอดินเรียกสุนัขทั้งสองตัวว่า Geri จอมตะกละ กับ Freki ผู้ละโมบ (Geri the Ravenous & Freki the Greedy)
Naga (นากา - นาค)
ตำนานของนาคริเริ่มจากที่อินเดีย และสามารถพบได้ทั่วไปในตำนานของประเทศแถบเอเชียอาคเนย์ มันเป็นสัตว์กึ่งเทพและสัตว์กึ่งมนุษย์ที่อยู่ในรูปแบบของงูซึ่งมีกำลังมหาศาล นาคอาศัยอยู่ใต้ดินหรือในแม่น้ำและทะเลสาบ มันเป็นสัตว์ต่ำชั้นกว่ามนุษย์เพราะไม่มีวิญญาณ ดังนั้นจึงไม่สามารถรับความรู้ได้ นาคมีเจ็ดศีรษะ มีหงอนเหมือนงูเห่า และรูปร่างคล้ายกับไฮดรา มันมักจะปรากฏในเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าซึ่งถูกวาดภาพเป็นพระพุทธเจ้านั่งอยู่และได้รับการปกป้องจากนาค
ตำนานของนาคริเริ่มจากที่อินเดีย และสามารถพบได้ทั่วไปในตำนานของประเทศแถบเอเชียอาคเนย์ มันเป็นสัตว์กึ่งเทพและสัตว์กึ่งมนุษย์ที่อยู่ในรูปแบบของงูซึ่งมีกำลังมหาศาล นาคอาศัยอยู่ใต้ดินหรือในแม่น้ำและทะเลสาบ มันเป็นสัตว์ต่ำชั้นกว่ามนุษย์เพราะไม่มีวิญญาณ ดังนั้นจึงไม่สามารถรับความรู้ได้ นาคมีเจ็ดศีรษะ มีหงอนเหมือนงูเห่า และรูปร่างคล้ายกับไฮดรา มันมักจะปรากฏในเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าซึ่งถูกวาดภาพเป็นพระพุทธเจ้านั่งอยู่และได้รับการปกป้องจากนาค
Nymphs (นิมฟ์)
นิมฟ์เป็นจิตวิญญาณหรือตัวตนแห่งสิ่งของในธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ แม่น้ำ ไอหมอก และภูเขา พวกเธอจะอยู่ในรูปของหญิงบริสุทธิ์ผู้งดงาม
ในตำนานของกรีก Dryad (ดรายแอด) และ Hamadryad (ฮามาดรายแอด) เป็นจิตวิญญาณแห่งต้นไม้ ดรายแอดอาศัยอยู่ในป่าและฮามาดรายแอดจะมีพันธะกับต้นไม้บางต้นเท่านั้น ชีวิตของพวกเธอจะยืนยาวตราบที่ต้นไม้ที่เธอสิงสู่ยังมีชีวิตอยู่
สำหรับนิมฟ์ของสิ่งอื่น ๆ ก็มี Oread นิมฟ์แห่งภูเขา Naiad นิมฟ์แห่งน้ำ ผู้อาศัยอยู่ในแม่น้ำหรือไอหมอก และ Nereid นิมฟ์แห่งทะเลซึ่งเป็นบุตรสาวของเทพแห่งทะเลนาม Nereus
นิมฟ์เป็นจิตวิญญาณหรือตัวตนแห่งสิ่งของในธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ แม่น้ำ ไอหมอก และภูเขา พวกเธอจะอยู่ในรูปของหญิงบริสุทธิ์ผู้งดงาม
ในตำนานของกรีก Dryad (ดรายแอด) และ Hamadryad (ฮามาดรายแอด) เป็นจิตวิญญาณแห่งต้นไม้ ดรายแอดอาศัยอยู่ในป่าและฮามาดรายแอดจะมีพันธะกับต้นไม้บางต้นเท่านั้น ชีวิตของพวกเธอจะยืนยาวตราบที่ต้นไม้ที่เธอสิงสู่ยังมีชีวิตอยู่
สำหรับนิมฟ์ของสิ่งอื่น ๆ ก็มี Oread นิมฟ์แห่งภูเขา Naiad นิมฟ์แห่งน้ำ ผู้อาศัยอยู่ในแม่น้ำหรือไอหมอก และ Nereid นิมฟ์แห่งทะเลซึ่งเป็นบุตรสาวของเทพแห่งทะเลนาม Nereus
Phoenix (ฟีนิกซ์)
ฟีนิกซ์มีความเกี่ยวข้องกับตำนานของพระอาทิตย์และเป็นสัญลักษณ์แห่งความอมตะ การเกิดใหม่ และพลังอำนาจ ตามตำนานนั้นฟีนิกซ์อาศัยอยู่ในแดนสุขาวดีทางทิศตะวันออกซึ่งไม่มีความหิวและไม่มีกลางคืน ร่างของมันใหญ่และสง่างามยิ่งกว่านกอินทรี ศีรษะ ทรวงอก และหลังของมันนั้นมีสีแดงสด ดวงตาของมันเป็นสีฟ้าทะเล เท้าของมันมีสีม่วงและปีกของมันนั้นมีหลากหลายสี นกฟีนิกซ์ไม่ได้กินหญ้าหรือล่าสัตว์อื่นเป็นอาหาร มันกินเพียงอากาศเท่านั้น
ฟีนิกซ์มีอายุขัยหนึ่งพันปีพอดิบพอดี ในช่วงสุดท้ายของชีวิตมันจะออกจากแดนสุขาวดีและบินไปยังแหลมอาราเบีย ที่นั่นมันจะรวบรวมเครื่องหอมกับเครื่องเทศเพื่อนำไปที่รังของมันซึ่งสร้างอยู่บนต้นปาล์มที่สูงที่สุดในชายฝั่งของ Phoenicia จากนั้นมันจะร้องบทเพลงแห่งความตาย (Death Song) บทเพลงนั้นดีเลิศจนแม้แต่เทพแห่งพระอาทิตย์ยังต้องหยุดเกวียนของเขาเพื่อฟัง หลังจากที่ดวงอาทิตย์ลาลับไป รังของฟีนิกซ์จะลุกไหม้ไปพร้อม ๆ กับเจ้าของรัง หลงเหลือไว้เพียงขี้เถ้าให้นกฟีนิกซ์ตัวใหม่ได้เติบโตขึ้น
ฟีนิกซ์ตัวใหม่จะนำขี้เถ้าจากรังเก่าไปที่ Heliopolis เมืองแห่งดวงอาทิตย์ซึ่งตั้งอยู่ในอียิปต์ และวางขี้เถ้าลงบนแท่นบูชาของวิหารแห่งดวงอาทิตย์ จากนั้นมันก็จะบินไปทางทิศตะวันออก และเข้าร่วมกับนกตัวอื่นในโลก ไม่ว่าจะเป็นนกผู้ล่าหรือผู้ถูกล่าก็จะตามฟีนิกซ์ไปอย่างสงบสู่แดนสุขาวดี
ตำนานแต่ละตำนานบอกอายุขัยของฟีนิกซ์แตกต่างกันปี ตั้งแต่ 350 ปี 500 ปี บางตำนานก็บอกว่ามีอายุขัยถึง 1460 ปีหรือ 7006 ปี อย่างไรก็ตาม ผู้คนให้ความสนใจกับการให้ความหมายของนกฟีนิกซ์มากกว่า ศาสนาคริสต์ใช้ฟีนิกซ์แทนพระเยซูคริสต์และการฟื้นคืนชีพ ชาวโรมันใช้ฟีนิกซ์ในศตวรรษที่สี่เพื่อแทนคำมั่นสัญญาของการเกิดใหม่ของอาณาจักรโรมัน
นอกจากนั้นฟีนิกซ์ยังถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของ โจน ออฟ อาร์ค (Joan of Arc) หลังจากที่เธอเสียชีวิต สำหรับตำนานของประเทศอื่นเกี่ยวกับฟีนิกซ์ก็มี Feng Huang ของจีน (ดังที่อธิบายไปก่อนหน้านี้แล้ว) และนก Ho-ho ของญี่ปุ่น ซึ่งมักถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์
ฟีนิกซ์มีความเกี่ยวข้องกับตำนานของพระอาทิตย์และเป็นสัญลักษณ์แห่งความอมตะ การเกิดใหม่ และพลังอำนาจ ตามตำนานนั้นฟีนิกซ์อาศัยอยู่ในแดนสุขาวดีทางทิศตะวันออกซึ่งไม่มีความหิวและไม่มีกลางคืน ร่างของมันใหญ่และสง่างามยิ่งกว่านกอินทรี ศีรษะ ทรวงอก และหลังของมันนั้นมีสีแดงสด ดวงตาของมันเป็นสีฟ้าทะเล เท้าของมันมีสีม่วงและปีกของมันนั้นมีหลากหลายสี นกฟีนิกซ์ไม่ได้กินหญ้าหรือล่าสัตว์อื่นเป็นอาหาร มันกินเพียงอากาศเท่านั้น
ฟีนิกซ์มีอายุขัยหนึ่งพันปีพอดิบพอดี ในช่วงสุดท้ายของชีวิตมันจะออกจากแดนสุขาวดีและบินไปยังแหลมอาราเบีย ที่นั่นมันจะรวบรวมเครื่องหอมกับเครื่องเทศเพื่อนำไปที่รังของมันซึ่งสร้างอยู่บนต้นปาล์มที่สูงที่สุดในชายฝั่งของ Phoenicia จากนั้นมันจะร้องบทเพลงแห่งความตาย (Death Song) บทเพลงนั้นดีเลิศจนแม้แต่เทพแห่งพระอาทิตย์ยังต้องหยุดเกวียนของเขาเพื่อฟัง หลังจากที่ดวงอาทิตย์ลาลับไป รังของฟีนิกซ์จะลุกไหม้ไปพร้อม ๆ กับเจ้าของรัง หลงเหลือไว้เพียงขี้เถ้าให้นกฟีนิกซ์ตัวใหม่ได้เติบโตขึ้น
ฟีนิกซ์ตัวใหม่จะนำขี้เถ้าจากรังเก่าไปที่ Heliopolis เมืองแห่งดวงอาทิตย์ซึ่งตั้งอยู่ในอียิปต์ และวางขี้เถ้าลงบนแท่นบูชาของวิหารแห่งดวงอาทิตย์ จากนั้นมันก็จะบินไปทางทิศตะวันออก และเข้าร่วมกับนกตัวอื่นในโลก ไม่ว่าจะเป็นนกผู้ล่าหรือผู้ถูกล่าก็จะตามฟีนิกซ์ไปอย่างสงบสู่แดนสุขาวดี
ตำนานแต่ละตำนานบอกอายุขัยของฟีนิกซ์แตกต่างกันปี ตั้งแต่ 350 ปี 500 ปี บางตำนานก็บอกว่ามีอายุขัยถึง 1460 ปีหรือ 7006 ปี อย่างไรก็ตาม ผู้คนให้ความสนใจกับการให้ความหมายของนกฟีนิกซ์มากกว่า ศาสนาคริสต์ใช้ฟีนิกซ์แทนพระเยซูคริสต์และการฟื้นคืนชีพ ชาวโรมันใช้ฟีนิกซ์ในศตวรรษที่สี่เพื่อแทนคำมั่นสัญญาของการเกิดใหม่ของอาณาจักรโรมัน
นอกจากนั้นฟีนิกซ์ยังถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของ โจน ออฟ อาร์ค (Joan of Arc) หลังจากที่เธอเสียชีวิต สำหรับตำนานของประเทศอื่นเกี่ยวกับฟีนิกซ์ก็มี Feng Huang ของจีน (ดังที่อธิบายไปก่อนหน้านี้แล้ว) และนก Ho-ho ของญี่ปุ่น ซึ่งมักถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์
No comments:
Post a Comment