Apr 4, 2011

อาหารที่แพงที่สุดในโลก

ขนมหวานแพงที่สุดในโลก คือ ไอศครีม ซันเด ของร้าน Serendipity 3 ในแมนฮัตตัน




ไอศครีมช็อคโกแลตซันเด ถ้วยนี้ ได้รับการจดบันทึกลงในกินเนสบุ้ค ออฟ เวิล์ด เรคคอร์ด ว่าเป็น "ขนมหวานแพงที่สุดในโลก" มีจำหน่ายที่ร้าน Serendipity 3 ในแมนฮัตตัน กลางกรุงนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ด้วยสนนราคาถ้วยละ 25,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 850,000 บาท

“Frrrozen Haute Chocolate” คือ ชื่อของช็อคโกแลต ซันเดแพงระยับถ้วยนี้ ส่วนสาเหตุที่มีราคาแพงเนื่องมาจากไอศครีมมีส่วนผสมของโกโก้พันธุ์ดีและหายากมากๆ จำนวน 28 ผล (ในจำนวนนี้มีอยู่ 14 ผลที่เป็นโกโก้ชนิดแพงที่สุด) และทองคำ 23 เค ชนิดทานได้ น้ำหนัก 5 กรัม


ไอศครีมดังกล่าวจะถูกบรรจุลงในถ้วยทองคำ ที่มีแผ่นทองคำชนิดทานได้รองอยู่ภายในถ้วย นอกจากนี้บริเวณฐานของถ้วยไอศครีมยังตกแต่งด้วยสร้อยทอง 18 เค พร้อมกับเพชรแท้สีขาวอีก 1 กะรัต
เท่านั้นยังไม่พอ ไอศรีมถ้วยนี้ยังถูกแต่งหน้าด้วยวิปครีม โรยทับอีกชั้นด้วยทองคำ ประดับด้วยช็อคโกแลต "La Madeline au Truffle" จากร้าน Knipschildt Chocolatier ที่ขายในราคาปอนด์ละ 2,500 เหรียญ (85,000 บาท/0.45 กก.)

สำหรับช้อนทองที่เห็นในภาพว่าประดับด้วยเพชรสีขาวและสีช็อคโกแลต ลูกค้าสามารถนำกลับไปดูเล่นที่บ้านได้ ... แต่ถ้วยและสร้อยทองคล้องเพชร 1 กะรัตห้ามเอาไป ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้ออกจากร้านแน่นอน


ออมเล็ตแพงที่สุดในโลก คือ ออมเล็ตของภัตตาคาร Le Parker Meridien ในกรุงนิวยอร์ค


"ออมเล็ต" หรือไข่คน แพงที่สุดในโลกหารับประทานได้ที่ภัตตาคาร "Le Parker Meridien" ในกรุงนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา

ออมเล็ต (ภาพบน) จานละ 1,000 เหรียญ หรือประมาณ 34,000 บาท ประกอบด้วยส่วนผสมหลัก ได้แก่ ไข่ปลาคาเวียร์ (sevruga) น้ำหนัก 10 ออนซ์ กุ้งล็อบสเตอร์ทั้งตัว และไข่อีก 6 ฟอง เป็นต้น (ว่ากันว่าถ้านำส่วนผสมทั้งหมดมาทำเองที่บ้าน ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ราวๆ 700 เหรียญ หรือประมาณ 23,800 บาท)


พิซซ่าแพงที่สุดในโลก คือ พิซซ่า Luis XIII


พิซซ่าที่แพงสุดในโลก คือ พิซซ่า "Louis XIII" ฝีมือเชฟหนุ่มชาวอิตาลีที่ชื่อ "เรนาโต้ วิโอล่า" 
พิซซ่า "Louis XIII" มีขนาด 8 นิ้ว ก่อนทำต้องใช้เวลาในการเตรียมแป้งเป็นเวลานานถึง 72 ช.ม. ขณะที่ท็อปปิ้งหรือหน้าพิซซ่าล้วนมาจากส่วนผสมคุณภาพเยี่ยม อาทิ ชีส mozzarella di bufala ไข่ปลาคาเวียร์ 3 ชนิด กุ้งล็อบสเตอร์จาก Cilento (ในอิตาลี) และประเทศนอร์เวย์ โรยหน้าด้วยเกลือสีชมพูที่มาจากแม่น้ำ Murray ในประเทศออสเตรเลีย ฯลฯ


พิซซ่าแพงสุดในโลก "Louis XIII" จำหน่ายในราคาอันละ 8,300 ยูโร หรือเกือบ 4 แสนบาท (ราคานี้รวมค่าตัวเชฟและผู้ช่วยอีก 2 คน ที่จะหอบข้าวของและอุปกรณ์ต่างๆ ไปทำพิซซ่าถึงบ้านลูกค้า)


แซนด์วิชแพงที่สุดในโลก คือ คลับแซนด์วิช "von Essen Platinum"


นี่คือโฉมหน้าแซนด์วิช "แพงที่สุดในโลก" ฝีมือนายเจมส์ พาร์คินสัน หัวหน้าเชฟของโรงแรมหรู "von Essen" ในเมืองเบิร์กเชียร์ ประเทศอังกฤษ หลังจากสังเกตุส่วนผสมของแซนด์วิชในโรงแรมหรูห้าดาวทั่วโลกที่เขาได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียน เขาจึงคิดรวบรวมส่วนผสมที่ดีที่สุดของแซนด์วิชในแต่ละโรงแรมมาไว้ในอันเดียวกัน

ด้วยเหตุนี้ “von Essen Platinum Club Sandwich” ของเขาจึงกลายเป็นคลับแซนด์วิชแพงที่สุดในโลก ซึ่งมีทั้งหมด 3 ชั้น ประกอบด้วยส่วนผสมหลักคือ เนื้อไก่อย่างดี (พันธุ์ poulet de Bresse ของฝรั่งเศส) แฮม Iberian ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแฮมหายากคุณภาพเยี่ยมจากประเทศสเปน เห็ดทรัฟเฟิลขาวและมะเขือเทศจากประเทศอิตาลี ไข่นกกระทาต้มสุก และขนมปังที่ผลิตจากแป้งชนิดพิเศษ

แซนด์วิช "von Essen Platinum" ของเชฟพาร์คินสัน จำหน่ายในราคาอันละ 100 ปอนด์ หรือกว่า 5.5 พันบาท ถ้าใครอยากลองทานว่าจะเด็ดสักแค่ไหน ก็ไปพิสูจน์ได้ที่ภัตตาคาร "Cliveden’s Waldo" ของโรงแรม "von Essen"


เนื้อแพงที่สุดในโลก คือ เนื้อที่มาจากวัววากิว (Wagyu) ประเทศญี่ปุ่น


เนื้อแพงที่สุดในโลก คือ เนื้อที่มาจากวัววากิว (Wagyu) ประเทศญี่ปุ่น วัววากิวถือเป็นวัวพื้นเมืองที่มีอยู่หลายสายพันธุ์ด้วยกัน ชาวญี่ปุ่นจะเลี้ยงดูวัวเหล่านี้อย่างดีเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการให้หญ้าพันธุ์ดี ธัญพีช ฟาร์มบางแห่งถึงขนาดมีการนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อให้วัว หรือไม่ก็ผสมสาเก หรือเบียร์ ลงไปในอาหาร
สำหรับคนที่ชอบทานเนื้อ น่าจะเคยได้ยินชื่อ "เนื้อโกเบ" หรือ Kobe Beef ที่ส่งตรงมาจากเมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น และมัตสึซากะ ฯลฯ ก็มาจากวัววากิวเช่นกัน แต่สาเหตุที่เรียกชื่อต่างกันเป็นเพราะว่าเลี้ยงกันคนละเมือง

เนื้อโกเบเริ่มเป็นที่รู้จักของชาวโลกก็ตอนที่เมืองโกเบเริ่มเปิดท่าเรือพาณิชย์เป็นครั้งแรกในเดือนธันวาคม ปี 1868 และร่ำลือกันว่าเป็นเนื้อชั้นดีที่นุ่มน่ารับประทานมากๆ ถึงขนาดได้ชื่อว่าเป็น Queen of Beef แต่สำหรับ "เนื้อมัตสึซากะ" หรือ Matsusaka Beef ได้ชื่อว่าเป็น King of Beef เลยเชียว
"เนื้อมัตสึซากะ" กับ "เนื้อโกเบ" มีรสชาติที่ใกล้เคียงกันมากผู้เชี่ยวชาญบอกว่านุ่ม เนียน ราวกับปุยนุ่น แทบไม่ต้องเคี้ยว เพราะมาจากวัวพันธุ์เดียวกัน แต่ที่ชื่อต่างกัน เพราะเลี้ยงต่างเมืองกันเนื้อโกเบมาจากเมืองโกเบ บนเกาะฮอนชู เขตเคนไซ (Kansai Region) ใกล้โอซากา ขณะที่เนื้อมัตสึซากะมาจากเมืองมัตสึซากะอยู่ทางตะวันออกของเมืองโกเบ


มันฝรั่งแพงที่สุดในโลก คือ มันฝรั่ง La Bonnotte

มันฝรั่งราคาแพงที่สุดในโลก คือ “La Bonnotte” ปลูกได้เฉพาะบนเกาะนีวร์มูทีเยของประเทศ ฝรั่งเศสเท่านั้น แถมปีหนึ่งๆ ยังเก็บเกี่ยวได้แค่เพียง 10 วัน และต้องใช้มือถอนเก็บเท่านั้น เพราะมันฝรั่งมีความบอบบางมาก ถ้าใช้เครื่องเก็บเกี่ยวจะเสียหายได้ และให้ผลผลิตเพียงปีละ 20,000 ก.ก. ด้วยเหตุนี้มันฝรั่งที่ว่าจึงมีราคาขายสูงถึง 500 ยูโร/กก. หรือกว่า 23,000 บาทเลยทีเดียว

สำหรับสิ่งที่ทำให้ "La Bonnotte" มีราคาแพงกว่ามันฝรั่งโดยทั่วไปก็คือ การที่มันฝรั่งชนิดนี้เพาะปลูกได้เฉพาะพื้นที่ๆ เป็นดินปนทรายในแถบ Isle บนเกาะนีวร์มูทีเย (Noirmoutier) เท่านั้น และจะต้องใช้สาหร่ายทะเลมาผสมบนดินแทนปุ๋ย ทำให้มันฝรั่งชนิดนี้มีรสชาติที่หลากหลายในผลเดียว แต่ที่โดดเด่นก็คือ รสชาดที่ออกมันนิดๆ เค็มหน่อยๆ อีกทั้งยังมีกลิ่นอ่อนๆ คล้ายมะนาว ผสมกับกลิ่นดิน และกลิ่นอายของทะเลอีกด้วย เลยทำให้อร่อยหอม และนุ่มลิ้นเมื่อทาน

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม La Bonnotte เป็นมันฝรั่งที่บอบบางมากเสียจนไม่สามารถใช้เครื่องมือ หรือเครื่องจักรช่วย ในการเก็บเกี่ยวได้ ดังนั้น มีแค่เพียงวิธีเดียวที่จะนำมันฝรั่งชนิดนี้ขึ้นมาจากใต้ผิวดินก็คือ "การใช้มือดึง" ที่สำคัญฤดูกาลเก็บเกี่ยวของมันฝรั่งชนิดนี้จะมีเพียง 10 วัน คือ ตั้งแต่วันที่ 1-10 พฤษภาคมของทุกปี และให้ผลผลิตเพียงปีละ 20,000 ก.ก.เท่านั้น

เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวในสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคมของทุกปี ชาวบ้านบนเกาะนีวร์มูทีเย ราว 2,500 คนจะมาช่วยกันเก็บเกี่ยวมันฝรั่งชนิดนี้โดยใช้มือดึงขึ้นมา หลังเก็บเกี่ยวเสร็จแล้วก็จะมีเทศกาลเฉลิมฉลองฤดูเก็บเกี่ยวซึ่งจะจัดขึ้น อย่างสนุกสนานเป็นประจำทุกปี
อันที่จริงมันฝรั่ง La Bonnotte เกือบจะสูญพันธุ์ไปแล้วในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 แต่ถือว่ายังโชคดีที่มีกลุ่มผู้ชื่นชอบมันฝรั่งชนิดนี้ และอุทิศตนเพื่อปกป้องรักษาพันธุ์มันฝรั่ง La Bonnotte เอาไว้ ทำให้ยังคงมีการเพาะปลูกจวบจนกระทั่งปัจจุบันนี้ แถมยังมีเว็บไซต์เกี่ยวกับมันฝรั่ง La Bonnotte โดยเฉพาะอีกด้วย


เห็ดแพงที่สุดในโลก คือ เห็ดทรัฟเฟิลขาว

เห็ดที่มีราคาแพงที่สุดในโลกคือ เห็ดทรัฟเฟิลขาว ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในแถบ Langhe แห่งแคว้นปีเอมอนเต ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ในอดีตคนเก็บเห็ดทรัฟเฟิลจะใช้หมูช่วยดมกลิ่นค้นหา แต่ระยะหลังๆ มักนิยมใช้สุนัขมากกว่า เพราะสุนัขจะไม่กินเห็ดเหมือนหมู


เห็ดชนิดนี้มีราคาขายสูงถึง 1,700 - 3,800 ยูโร ต่อ 1 ก.ก. (ราว 82,000 - 183,502 บาท/ก.ก)


คาเวียร์แพงที่สุดในโลก คือ เบลูก้า คาเวียร์

หลายคนอาจจะสับสนระหว่าง คาเวียร์ กับ ไข่ปลาสเตอร์เจียน จริง ๆ แล้ว คาเวียร์ ก็คือ ไข่ของปลาสเตอร์เจียน ไม่ใช่ไข่ของปลาคาเวียร์ ซึ่งในโลกนี้ไม่มีปลาชนิดนี้อยู่เลย ในอดีตมนุษย์สามารถพบเห็นปลาสเตอร์เจียนได้ทั่วไปในยุโรป แต่ปัจจุบันพบได้มากเฉพาะในทะเลแคสเปียนเท่านั้น แต่การจับปลาสเตอร์เจียนกันมากในทะเลดังกล่าวก็ส่งผลให้ประชากรปลาสเตอร์เจียนลดลง

จนในวันที่ 1 เมษายน ค.ศ.1998 ปลาสเตอร์เจียน ต้องกลายสภาพเป็นสัตว์เสี่ยงต่อการสูญพันธ์อีกชนิดหนึ่ง การค้าไข่ปลาที่เรียกว่า คาเวียร์ จึงถูกคุมเข้ม แต่ละประเทศที่ผลิตคาเวียร์ขายต้องจับปลา และผลิตคาเวียร์ตามโควตาที่ตนได้รับเท่านั้น

คาเวียร์แพงที่สุดในโลก ไม่ได้มีสีดำอย่างที่หลายท่านคุ้นเคย แต่เป็นชนิดที่มีสีเทาอ่อนๆ ไล่ลงมาจนเกือบขาวตามอายุของปลา ยิ่งปลาอายุมากไข่ก็จะมีสีอ่อนลง และมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ


คาเวียร์อัลมาส (ภาษาเปอร์เซี่ยนแปลว่า "เพชร") ที่ได้มาจากปลา "เบลูก้า สเตอเจี้ยน" อายุหนึ่งร้อยปีขึ้นไป ถือเป็นไข่ปลาคาเวียร์ที่หายากที่สุด และมีราคาแพงที่สุด โดยมีราคาสูงถึงเกือบ 25,000 เหรียญสหรัฐต่อ 1 ก.ก. (ประมาณ 850,000บาท/ก.ก.) ในขณะที่ราคาเฉลี่ยของเบลูก้า คาเวียร์ โดยทั่วไปในปัจจุบันจะอยู่ที่ 7,000 - 10,000 เหรียญสหรัฐต่อ 1 ก.ก. (ราว 2.38 -3.4 แสนบาท/ก.ก.)

ปลา "เบลูก้า สเตอเจี้ยน" มีถิ่นอาศัยอยู่ในทะเลแคสเปียน ซึ่งเป็นทะเลปิดที่อยู่ระหว่างทวีปเอเชียกับทวีปยุโรป อันเป็นพรมแดนของประเทศรัสเซีย อาเซอร์ไบจาน อิหร่าน เติร์กเมนิสถาน และประเทศคาซัคสถาน บางครั้งอาจพบปลาดังกล่าวอาศัยอยู่ในแถบทะเลดำ นานๆ ครั้งจึงโผล่ให้เห็นบ้างในทะเลอาเดรียติก ปลาชนิดนี้จะถือว่าโตเต็มที่พร้อมให้ผลผลิต (ไข่) เมื่อมีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป


ถั่วแพงที่สุดในโลก คือ ถั่วแมคคาเดเมีย

ถั่วที่มีราคาแพงที่สุดในโลก คือ ถั่วแมคคาเดเมีย ถั่วชนิดนี้จะให้ผลผลิตก็ต่อเมื่อมีอายุตั้งแต่ 7-10 ปีขึ้นไป ซึ่งการปลูกให้ได้ผลผลิตที่ดีนั้นจะต้องหมั่นคอยดูแลโดยใส่ปุ๋ย และปลูกในที่ๆ มีฝนตกชุกเท่านั้น

ถั่วชนิดนี้เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีอยู่หลายสายพันธุ์ด้วยกัน โดยมีถิ่นกำเนิดที่ประเทศออสเตรเลียมากถึง 7 สายพันธุ์ ที่นิว คาเลโดเนีย 1 สายพันธุ์ และ ที่เมืองสุลาเวสี ประเทศอินโดนีเซีย อีก 1 สายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ที่มีความสำคัญและมีมูลค่าในเชิงการค้ามากที่สุดมีเพียง 2 สายพันธุ์ คือ Macadamia integrifolia และ Macadamia tetraphylla ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในรัฐนิวเซาธ์ เวลส์ และควีนสแลนด์ ของประเทศออสเตรเลีย

ไร่แมคคาเดเมียที่ได้ปลูกขึ้นเพื่อการค้าเป็นครั้งแรกนั้น เกิดขึ้นในช่วงต้นของยุคปี ค.ศ. 1880 (พ.ศ. 2423) ในรัฐนิวเซาธ์ เวลส์ ของประเทศออสเตรเลีย และอีก 2 ปีต่อมาได้มีการนำเข้าเมล็ดพันธุ์แมคคาเดเมียจากออสเตรเลียไปทดลองปลูกที่ฮาวาย จนเริ่มมีการปลูกแมคคาเดเมียในเชิงการค้าที่นั่นอย่างจริงจังนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1920 (พ.ศ. 2463) เป็นต้นมา
นอกจาก ออสเตรเลีย และฮาวายแล้ว ยังมีประเทศอื่นๆ ที่ปลูกแมคคาเดเมียเป็นพืชเศรษฐกิจอีก ได้แก่แอฟริกาใต้ บราซิล สหรัฐอเมริกา (แคลิฟอร์เนีย) คอสตา ริก้า อิสราเอล เคนย่า โบลิเวีย นิวซีแลนด์ และมาลาวี โดยมีออสเตรเลียเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลก

สำหรับราคาขายของถั่วชนิดนี้จะอยู่ที่มากกว่า 30 เหรียญสหรัฐต่อ 1 ก.ก. (มากกว่า 1 พันบาท/ก.ก.)


เครื่องเทศแพงที่สุดในโลก คือ แซฟฟรอน

แซฟฟรอน  (Saffron) หรือที่บ้านเราเรียกว่า หญ้าฝรั่น (อ่านว่า ฝะ-หรั่น) ได้ชื่อว่าเป็นเครื่องเทศที่แพงที่สุดในโลก ถ้าเทียบกับเห็ดก็คือระดับทรัฟเฟิลนั่นเอง อู๊ย...ราคาหยั่งกะเพชรกะทองกันทั้งนั้น

แซฟฟรอน คือดอกไม้ของต้นแซฟฟรอน คร็อกคัส ซึ่งเป็นไม้มีหัว วงศ์เดียวกับดอกไอริส ซึ่งหน้าตาก็งดงามคล้ายๆ กันเสียด้วย

เหตุที่ทำให้แซฟฟรอนแพงนักแพงหนา ก็เป็นเพราะว่าส่วนที่นำมาทำเป็นเครื่องเทศ ก็คือ เกสรตัวเมียของดอกแซฟฟรอนเท่านั้น ซึ่งแต่ละดอกนั้นมีเพียงอย่างมากก็ 3 เส้น การที่จะผลิตแซฟฟรอนแห้งให้ได้น้ำหนักเพียง 1 ปอนด์ (0.45 ก.ก.) จะต้องใช้ดอกแซฟฟรอน โครคัส มากถึง 50,000-75,000 ดอก หรือปริมาณมากเท่ากับ 1 สนามฟุตบอลเลยทีเดียว

ดอกโครคัส  พบได้ในหลายพื้นที่ทั่วโลก แต่ปลูกมากในประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียน อย่าง สเปน ฝรั่งเศส เกาะซิซิลี อิตาลี อิหร่าน รวมทั้งที่แคชเมียร์ด้วย แต่ที่ได้การยอมรับในคุณภาพมากที่สุดคือ แซฟฟรอนจากอิหร่าน ที่ผลิตเครื่องเทศแซฟฟรอนได้มากที่สุด ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 94 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณการผลิตทั่วโลก ในช่วงระยะนี้ เป็นช่วงที่แซฟฟรอนกำลังเริ่มจะเบ่งบาน โชว์ดอกงามๆ สีม่วงไปทั่วท้องทุ่ง

และประเทศที่นิยมใช้แซฟฟรอนเป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหารได้แก่ อิหร่าน และประเทศอาหรับอื่นๆ รวมถึงประเทศในแถบเอเชียกลาง อินเดีย ตุรกี ยุโรป ฯลฯ

FW.Mails

 

No comments: