นกเลิฟเบิร์ด สีสันสวยงาม ชวนให้เลี้ยง
นิตยสาร เทคโนโลยีชาวบ้านฉบับนี้จะชวนท่านผู้อ่านไปรู้จักฟาร์มเลี้ยงนกเลิฟเบิร์ ดที่มีชื่อเสียงอีกแห่ง และก่อนที่จะรู้เรื่องราวต่างๆ ของนกเลิฟเบิร์ดที่เริ่มตั้งแต่การเพาะเลี้ยง การดูแลอนุบาล ไปจนถึงการจำหน่าย ขอมาทำความรู้จักกับ คุณยุทธนา อิ่มอโนทัย เจ้าของฟาร์มนกเลิฟเบิร์ด ที่ชื่อ "พิณฟาร์ม" (PIN FARM) กันก่อน
คุณ ยุทธนา ในวัย 50 ปี เป็นผู้ที่ชื่นชอบการเลี้ ยงนกสวยงามมาเป็นเวลาช้านานแล้ว ก่อนหน้าที่จะมาทำธุรกิจการเพาะนกจำหน่ายนั้น คุณยุทธนาเคยทำงานธนาคารมาก่อน แต่ด้วยความรักและสนใจการเลี้ยงนกจึงเบนเข็มชีวิตเข้าสู่วงการธุรกิจเพาะและ จำหน่ายนก คุณยุทธนาบอกว่า มีความสุขกับการเลี้ยงนกมาก เมื่อเริ่มเพาะเลี้ยงนกและได้ลูกนกเลิฟเบิร์ดออกมาก็ได้นำลูกนกเหล่านั้นมา ขาย
มารู้จักกับนกเลิฟเบิร์ดกันก่อน
ในสมัย แรกเริ่มคือช่วงปี 1840 นกเลิฟเบิร์ดเป็นนกที่มีสายพั นธุ์เดียวกับนกแก้ว (Parrot) จึงเรียกว่าเป็น Little Parrot ตามประวัติกล่าวว่า ชาวแอฟริกันเป็นผู้นำนกชนิดนี้เข้าไปแพร่หลายในทวีปยุโรป และด้วยเอกลักษณ์ของนกชนิดนี้ก็คือ ชอบอยู่เป็นคู่ และจะดูแลกันและกันเป็นอย่างดี จึงได้รับการเรียกขานว่า "Lovebirds" ในที่สุด
ต่อมา Lovebirds ก็แพร่ขยายไปในอเมริกาด้ วยในศตวรรษที่ 60 เมื่อมีการแพร่ไปมากๆ จึงเกิดการกลายพันธุ์ จากเดิมที่เป็นสายพันธุ์ Parrot ก็มีการเรียกชื่อใหม่ ว่าเป็นสายพันธุ์ Agapornis ต่อมา ในช่วงศตวรรษที่ 80 การเลี้ยงนกเลิฟเบิร์ด มีจุดมุ่งหมายก็เพื่อให้ได้สีสันใหม่ๆ ที่สวยงามขึ้น และเป็นการพัฒนาสายพันธุ์ รวมทั้งมีการผสมกับนกสายพันธุ์อื่นๆ อีกด้วยจนปัจจุบันนกเลิฟเบิร์ดได้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงภายในครอบครัว และเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
นกเลิฟเบิร์ด เป็นนกแก้วที่ตัวเล็ก มีสายพันธุ์ แยกเป็น 9 ชนิด มีถิ่นกำเนิดจากทวีปแอฟริกา เป็นนกที่มีเสน่ห์ ขี้เล่น จะอยู่กันเป็นคู่ มีสีสันมากมาย เริ่มต้นทีแรกเลยจะเป็นสีเขียว แล้วคนนำมาเพาะเลี้ยงแล้วพั ฒนาสายพันธุ์ ผสมออกมามีสีต่างๆ มากมาย จนตอนนี้มีสีม่วงแล้ว อายุโดยเฉลี่ยประมาณ 15-20 ปี ประเทศไทยสามารถเพาะพันธุ์นกได้ตลอดทั้งปี
"การทำฟาร์มนกเลิฟเบิร์ ดถือว่าดีมาก เพราะว่าลูกนกที่ เพาะออกมาสามารถขายได้หมด นกเลิฟเบิร์ดมีหลากหลายสี และหลายราคา โดยเฉพาะสีม่วงเป็นสีที่หายาก ก็จะมีราคาค่อนข้างแพง" คุณยุทธนา กล่าว
หากย้อนกลับไปก่อนหน้าที่จะ เริ่มลงมือทำธุรกิจนี้ คุณยุทธนาเล่าว่า จะต้องเริ่มจากความที่มีใจรั กในนกชนิดนี้ก่อน จากนั้นก็เริ่มศึกษาวิธีการเลี้ยงโดยอ่านจากหนังสือนกทั้งในและต่างประเทศ พร้อมทั้งออกเที่ยวชมฟาร์มนกเลิฟเบิร์ดในที่ต่างๆ หลายแห่งเพื่อให้มองเห็นสภาพการเลี้ยงที่แท้จริง
"ใจรักอย่างเดียว ไม่พอ จะต้องหันกลับมาดูสถานที่ ของเราก่อนว่าพร้อมและเหมาะสมหรือไม่ ถามตัวเองก่อนว่าจะมีเวลาเลี้ยงนกมากน้อยเท่าไร อีกทั้งต้องคิดต่อไปว่าพร้อมที่จะเลี้ยงนกสักกี่คู่ในระยะเริ่มต้นและต่อไป ในอนาคต จากนั้นจึงจะวางแผนการก่อสร้างกรงนก โรงเรือน และส่วนอื่นๆ แต่ที่สำคัญที่สุดที่จะต้องพิจารณาก่อนที่จะคิดถึงปัจจัยองค์ประกอบก่อนหน้า นี้ทั้งหมดคือ ต้องตอบตัวเองว่าพร้อมเรื่องเงินหรือไม่ ถ้าหากจะทำทั้งหมด" เจ้าของฟาร์มกล่าว
คุณยุทธนา เล่าต่อไปว่า สำหรับอาหารที่ใช้เลี้ยงนกก็ จะเป็นพวกมิลเล็ต ข้าวไรน์ ข้าวเปลือก เม็ดมะเขือ ฮ้วยม้อ ทานตะวัน ข้าวโอ๊ต ส่วนโรคที่มักเกิดกับนกเลิฟเบิร์ดมี 3-4 ชนิด คือ ตาแดง ฝีดาษ โรคหวัด ท้องเสีย
"ตาแดงจะเกิดจากเชื้อ ไวรัส ซึ่งจะติดง่าย แต่รักษายากมาก ขณะที่พบว่านกเป็นตาแดงจะต้องรี บกันนกตัวนั้นออกมารักษาต่างหาก ส่วนฝีดาษเกิดจากยุงเป็นพาหะ ก็ติดกันง่ายและรักษายากเช่นกัน
ฉะนั้น หากต้องการจะซื้อนกเลิฟเบิร์ ดมาเลี้ยงควรจะพิจารณาเลือกฟาร์มที่มีคุณภาพสัก หน่อย และก็ควรกักนกไว้ประมาณ 1 เดือนครึ่ง ถึง 2 เดือน" เจ้าของฟาร์มแนะนำ
เมื่อ ถามถึงราคาจำหน่าย คุณยุทธนาบอกว่า ก็เริ่มต้นที่ราคาตัวละ 300 บาท ไปจนถึงราคาตัวละ 10,000 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาด สี เป็นเกณฑ์
นอก จากเรื่องโรคจะเป็นปั ญหาในการเลี้ยงนกแล้ว คุณยุทธนายังบอกต่อไปอีกว่า คนเลี้ยงนกก็มีปัญหาไม่แพ้กัน หากมีการเปลี่ยนคนเลี้ยงบ่อยๆ จะไม่ส่งผลดีต่อการผลิตลูกนกให้เป็นไปตามเป้า เพราะต้องมีการฝึกคนใหม่อยู่ตลอดเวลาทำให้เสียเวลามาก
การจำแนกประเภทและพันธุ์นก
นก เลิฟเบิร์ด แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ แบบไม่มีขอบตา (Peachface Lovebirds) และแบบมีขอบตา (Fischer Lovebirds) นกเลิฟเบิร์ดแบบมีขอบตา รอบดวงตาจะเป็นสีขาว
นกเลิฟเบิร์ด มีจำนวน 9 สายพันธุ์ คือ
1. นกเลิฟเบิร์ดหน้าสีพีช (Peachface lovebird)
2. นกเลิฟเบิร์ดพันธุ์หน้ากาก (Masked lovebird)
3. นกเลิฟเบิร์ดฟีชเชอร์ (Fischer lovebird)
4. นกเลิฟเบิร์ดแก้มดำ (Black-Cheeked)
5. นกเลิฟเบิร์ดนายาซา (Nayasa lovebird)
6. นกเลิฟเบิร์ดอบิซซิเนียน (Abyssinian)
7. นกเลิฟเบิร์ดมาดากัสการ์ (Madagascar lovebird)
8. นกเลิฟเบิร์ดหน้าแดง (Red-face lovebird) และ
9. นกเลิฟเบิร์ดสวินเดิร์น (Swindern lovebird)
ปัจจุบัน ทางพิณฟาร์มมีพ่อ-แม่นกอยู่ จำนวนทั้งหมด 700 คู่ และในแต่ละเดือนสามารถให้ลูกนกได้ประมาณ 500-600 ตัว
เหตุผล ที่คนทั่วไปนิยมเลี้ยงนกเลิฟเบิ ร์ดนั้น คุณยุทธนาบอกว่า เป็นเพราะนกเลิฟเบิร์ดให้สีสดใส สวยงาม หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นเจ้าแห่งสีสัน ทั้งยังใช้พื้นที่ไม่ต้องมาก สามารถเลี้ยงไว้ในบ้าน หรือข้างๆ บ้านก็ยังได้
"ทางด้านการตลาดยังมี ความต้องการนกเลิฟเบิร์ดสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนกเลิฟเบิร์ ดประเภทขอบตาหนา เพราะมียอดสั่งจากพ่อค้าเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ในอนาคตหากสามารถเพาะนกเลิฟเบิร์ดที่มีสีสันใหม่ๆ ออกมา ก็จะเป็นช่องทางการจำหน่ายได้เพิ่มขึ้นอีก โดยเฉพาะในต่างประเทศกำลังเป็นที่นิยมอย่างสูง" เจ้าของฟาร์มให้ข้อมูลเพิ่ม
การ จำหน่ายนกให้กับทางลูกค้าทางพิ ณฟาร์มมีอยู่ 2 ช่องทาง คือ หนึ่ง การจำหน่ายตรงที่ร้านโดยขายหน้าร้าน หรือขายผ่านทางอินเตอร์เน็ต และ สอง ขายส่งกับพ่อค้าคนกลางที่ตลาดนัดจตุจักร
คุณยุทธนาได้ให้รายละเอียด ขั้นตอนการเลี้ยงนกว่า ควรเลือกซื้อนกที่มีอายุตั้งแต่ 3-6 เดือน แล้วนำมาปล่อยไว้ในกรงขนาดใหญ่ พอสมควร เป็นเวลาสัก 3-5 เดือน จากนั้นจึงนำนกเข้ากรงเพื่อผสมพันธุ์เป็นคู่ และนกจะเริ่มไข่เมื่อมีอายุได้ประมาณ 6-12 เดือน
นอกจากความโด่งดัง เป็นที่รู้จักแพร่หลายในฐานะเป็ นฟาร์มที่เลี้ยงนกเลิฟเบิร์ดของคนในประเทศ แล้ว พิณฟาร์มยังเป็นที่รู้จักของชาวต่างประเทศหลายชาติ และชาวต่างประเทศเหล่านั้นยังได้เดินทางเข้ามาเยี่ยมชมฟาร์มเลี้ยงนกอยู่ เป็นประจำ ดังนั้น จึงสามารถการันตีคุณภาพนกได้ด้วยรางวัลที่ได้รับจากการประกวดมากมาย
คุณ ยุทธนายังบอกต่ออีกว่า ปรัชญาในการทำงานของเขาคือจะต้ องยึดหลักความขยันขันแข็ง และจะต้องมีความซื่อสัตย์ต่องานที่ทำและต่อลูกค้า จึงจะสามารถประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี
ร้านพิณฟาร์ม ตั้งอยู่เลขที่ 608 ซอยลาดหญ้า 16 ถนนลาดหญ้า เขตคลองสาน กรุงเทพฯ 10600 หมายเลขโทรศัพท์ (081) 917-4866, (086) 570-1561 หรือ www.pinlovebird.com (คุณยุทธนา)
เครดิต : หนังสือพิมพ์เทคโนโลยี ชาวบ้าน
No comments:
Post a Comment